ตามรอยชนเผ่าอินค่า (ตอนที่ ๔)

น้ำตกระหว่างสามประเทศ

เช้าวันที่อิ๊คนาซีโอพาไปส่งที่สนามบินเพื่อบินไป น้ำตก “อีกัวซู่” Iguazu ภายในสนามบินเต็มไปด้วยทหารในเครื่องแบบถือปืนเตรียมพร้อม หลังจากที่อิ๊คนาซีโอได้ไปสอบถามแล้วบอกว่าไม่ต้องตกใจ ทหารมาดูแลให้เครื่องบินขึ้นและลงตามเวลา เพราะมีข่าวว่าสายการบินจะสไตรค์ ตามอย่างสายการบินในประเทศโบลีเวีย ซึ่งเป็นเหตุให้เพ็ญและฮันส์ไม่ได้ไปเที่ยวโบลีเวียอย่างที่ตั้งใจไว้ ใช้เวลาบินหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาทีก็ถึง

ไกด์ที่มารับเป็นชาวฮอลแลนด์แต่เกิดในประเทศบราซิลชื่อฟังออกเป็นภาษาไทยว่าอารีพูดได้หลายภาษา “หากคุณไม่ขัดข้อง ผมอยากจะพาไปชมน้ำตกแถบประเทศอาร์เจนติน่าเสียก่อนจะได้ไม่เสียเวลากลับไปกลับมา เพราะโรงแรมที่จะไปพักตั้งอยู่ในเขตประเทศบราซิล” อารีอธิบาย “น้ำตกอีกัวซู่ตั้งอยู่ระหว่างสามประเทศคืออาร์เจนตีน่าบราซิลและพาราไกว จะดูที่ไหนก็สวยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าในพาราไกวอาจจะเล็กหน่อยและไม่ค่อยมีคนนิยมไปเที่ยว ส่วนน้ำตกที่เห็นในบราซิลจะใหญ่กว่าในอาร์เจนติน่ามากและมีน้ำมากกว่าหลายเท่า แต่จากฝั่งอาร์เจนติน่า เราจะเห็นน้ำตกได้ชัดกว่าเท่านั้น” รถไปจอดที่หน้าประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติ อารีพาเดินไปบนทางแคบๆผ่านป่าเขตร้อนชื้นไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟเล็ก อารีบอกว่าในป่าสงวนแห่งนี้มีพืชพรรณไม้ที่ขึ้นบัญชีเอาไว้ถึงสองร้อยกว่าชนิด มีนกชนิดต่างๆสี่ร้อยกว่าชนิด รวมไปถึงแมลงต่างๆอีกนับไม่ถ้วน นอกจากนั้นก็มีสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอาศัยอยู่มากมาย รถไฟวิ่งซอกซอนไปตามป่าทึบที่มีเสียงนกและแมลงร้องอยู่หวีดหวิว ไปจอดที่ปลายทางเพื่อให้ผู้โดยสารเดินไปบนสะพานไม้ ยังไม่ทันที่รถจะจอดดี เสียงของน้ำตกก็ดังมากระทบหูจนกลบเสียงอื่นๆโดยสิ้นเชิง

อารีบอกว่าสะพานไม้อันนี้เพิ่งสร้างใหม่แทนอันเก่าที่ถูกน้ำท่วมพัดพังเสียหาย เสียงของอารีหายไปกับเสียงไหลครึกโครมของน้ำตก แลเห็นแต่รุ้งกินน้ำสีสวยในยามบ่ายทอตัดกับน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก “เรากำลังยืนอยู่ทางด้านขวาของน้ำตกที่เป็นประเทศอาร์เจนติน่า ทางด้านซ้ายเป็นประเทศบราซิล ส่วนข้างหน้าเป็นประเทศพาราไกว” อารีต้องเปล่งเสียงตะโกนแข่งกับน้ำตกทั้งๆที่ยืนอยู่ติดกัน “น้ำตกอีกัวซู่ถือกำเนิดมาจากแม่น้ำชื่อเดียวกันคือ Rio Iguazu ทางตอนใต้ของประเทศบราซิล แม่น้ำนี้ไหลผ่านที่ราบสูงที่เป็นหินสีดำไปสิ้นสุดลงที่แม่น้ำอีกสายหนึ่งซึ่งอยู่เหนือกว่า ก่อนที่จะมารวมตัวบรรจบกันตอนริมสุดของแม่น้ำ ซึ่งแบ่งออกอีกเป็นสายเล็กๆแต่ไหลแรงหลายสายทำให้เกิดน้ำตกขึ้นหลายแห่งในบริเวณเดียวกัน ที่ใหญ่ที่สุดเป็นน้ำตกครึ่งวงกลมที่ชาวบ้านเรียกว่า คอหอยของปีศาจ The Devil’s Throat น้ำตกอีกัวซู่มีปริมาณน้ำเป็นล้านๆลิตรที่ตกเป็นชั้นลงไปลึกถึง ๗๒ เมตร จากจำนวนน้ำตก ๒๗๕ สาย ซึ่งมากกว่าน้ำตกที่ไนอาการา และน่าทึ่งมากกว่า” อารีชอบถ่ายรูปจึงบอกให้ฮันส์และเพ็ญหยุดตามที่ต่างๆที่เขาเห็นว่าสวยเหมาะจะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แต่ฮันส์ต้องลบรูปออกเป็นส่วนใหญ่เพราะบางรูปก็ใช้ไม่ได้

“ถ้าหากคุณดูน้ำตกจนพอใจแล้ว ผมอยากเสนอให้เราไปเช็คอินเข้าโรงแรมกันก่อนที่จะมืด เพราะโรงแรมที่จะไปพักอยู่ทางฝั่งประเทศบราซิล ยังจะต้องนั่งรถผ่านด่านเข้าไปอีกนานพอสมควร” อารีบอกอย่างเอาอกเอาใจแขก “ไม่น่าเชื่อนะคะว่าจะต้องนั่งรถไปอีกเป็นชั่วโมงๆกว่าจะถึงบราซิล เพราะดูจากที่นี่เห็นอยู่แค่นี้เอง” เพ็ญชวนคุย

เมื่อไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง อารีขอหนังสือเดินทางของฮันส์และเพ็ญเอาไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจออกวีซ่าให้ แต่บอกให้ทั้งสองคนนั่งรออยู่ในรถ ไม่จำเป็นต้องไปแสดงตัวหรือกรอกฟอร์มใดๆ ไม่ถึงสิบนาทีอารีก็เอาหนังสือเดินทางมาคืนมีประทับตราวันเวลาที่อนุญาตให้อยู่ในบราซิลได้ ทำให้สองสามีภรรยาประทับใจ เพราะตามปกติประเทศในแถบนี้ของโลกมีเรดเทปวุ่นวายกว่าจะผ่านเข้าประเทศได้

โรงแรมคาทาราทาส Cataratas ตั้งอยู่ริมน้ำตก ห่างจากตัวเมืองไปประมาณยี่สิบกิโลเมตร เสียงของน้ำดังสนั่นตลอดเวลา เพราะจำนวนน้ำตกถึง ๒๗๕ สายที่ไหลลงไปในแม่น้ำอีกัวซู่ในคราวเดียวกัน ภายในบริเวณโรงแรมร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด มีกระรอกกระแตที่เชื่องออกมานั่งอยู่ภายในเขตระเบียงห้องรับประทานอาหาร แต่ทางโรงแรมมีกฏห้ามให้อาหารสัตว์ทุกประเภท เพราะเกรงว่าพวกสัตว์จะกัดกันเพื่อแย่งชิงอาหาร อาจจะเกิดอันตรายกับผู้ให้ แต่ถึงขนาดห้ามก็ยังมีแขกโรงแรมบางคนอวดดีแอบถือกล้วยหอมออกไปป้อนสัตว์ในบริเวณบ่อน้ำ อารีเล่าว่าสัตว์ป่าที่นี่ดุและไว้ใจไม่ได้ เมื่อไม่กี่ปีมานี่เองเสือโคร่งจากัวร์เข้าไปตะปบลูกชายที่ยังแบเบาะของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลป่าไม้ นอกจากนั้นทางโรงแรมยังมีกฏห้ามแขกออกไปเดินเล่นข้างนอกในยามวิกาลเพราะน้ำในแม่น้ำไหลแรงและเชี่ยวกราก เคยมีนักท่องเที่ยวตกลงไปและถูกน้ำพัดพาหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพบศพอีกครั้งก็อืดแล้ว

ลักษณะของโรงแรมเป็นแบบโคโลเนียลสไตล์ ห้องนอนกว้างขวางปูด้วยไม้พาร์เคท์เก่าแก่ กลิ่นอายชวนให้ระลึกถึงโรงแรมแรฟเฟิลที่สิงค์โปร์หรืออีแอนด์โอของปีนังในสมัยก่อน อุณหภูมิอยู่ในราวยี่สิบแปดองศาเซลเซียส ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาว แต่ความชื้นในอากาศสูงถึงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ทำให้อบอ้าวและเหนียวตัว อาหารเย็นวันนั้นเป็นปลาที่จับได้จากแม่น้ำ อร่อยมาก เพ็ญจำไม่ได้แล้วว่าปลาชื่ออะไร อิ๊คนาซีโอ ไกด์ที่กรุงบัวนอสแอเรสบอกว่าถ้ามีโอกาสต้องกินปลานี้เพราะมีชื่อมากและกินอร่อย

วันรุ่งขึ้นอารีพาเดินไปบนทางเดินริมแม่น้ำซึ่งเป็นทางลงมีราวเหล็กให้เกาะ น้ำตกด้านนี้มีน้ำมากอยู่จริงตามที่อารีเกริ่นไว้ พอถึงปลายทางเขาพาไปขึ้นลิฟท์เพื่อชมวิวโดยรอบและบอกว่าบราซิลมีเขื่อนชื่ออิตาพู Itapu ซึ่งเป็นเขื่อนไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก นับได้ว่าเป็นปฏิหารที่เจ็ดของโลกสมัยใหม่ เขาพาขึ้นรถจี๊ปที่จัดเป็นพิเศษบุกเข้าไปในป่าเขตร้อนจนไปถึงที่ท่าเรือเหนือแม่น้ำ ก่อนจะลงเรืออารีบอกให้ถอดรองเท้า ฝากกระเป๋าสตางค์ไว้กับเขา เพราะจะถูกน้ำกระเซ็นเปียก อะไรที่จะเอาติดตัวไปก็ให้ใส่ในถุงปลาสติค เพ็ญถามว่าใส่เสื้อกันฝนกันเปียกไม่ได้หรือ เขาตอบว่าเสื้อช่วยไม่ได้มากนักน้ำคงจะกระเซ็นขึ้นมาจนเปียกอยู่ดี อารีไม่ลงเรือไปด้วยบอกว่าเขาลงหลายครั้งแล้วเบื่อ ให้ไปร่วมสนุกกันกับคนอื่นๆ

เพ็ญและฮันส์เลือกได้ที่นั่งที่หัวเรือเพราะได้ลงไปก่อน ตามติดๆมาด้วยครอบครัวชาวไอริชมีพ่อและลูกสาวมาด้วยสองคน พอเต็มคนขับก็ออกเรือ ตอนแรกๆขับฉวัดเฉวียนไปตามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากให้แขกตื่นเต้นกันพอสมควร พอได้ที่เขาก็ขับเฉี่ยวเข้าไปใกล้น้ำตกให้เสียวเล่นแล้วถอยออกมาท่ามกลามเสียงร้องหวีดว้ายของผู้โดยสาร ตอนหลังเขาขับลอดเข้าไปใต้น้ำตกที่ซัดลงมาเป็นสาย ทุกคนร้องลั่นด้วยความไม่คาดคิด ทั้งตื่นเต้นและสนุกไปด้วยในตัว เพ็ญเกาะแขนฮันส์และยึดลำเรือไว้แน่นด้วยเกรงว่าจะถูกโยนลงไปในน้ำที่เชี่ยวกราก เสื้อผ้าเปียกจนโชกแล้วโชกอีกยิ่งกว่าเล่นน้ำสงกรานต์หลายเท่า เพ็ญรู้สึกทั้งสนุกและทั้งฉิวคนขับเรือ รวมไปถึงไกด์อารีที่หลอกให้ไปลงเรือ “ชม” น้ำตกจากแม่น้ำ นึกให้พรในใจและยกอารีให้เป็น Son of a Gun มิน่าเล่าเขาถึงไม่ยอมมาลงเรือด้วย เมื่อเรือจอดเทียบท่าต่างก็เปียกปอนกันไปทั่วหน้า