ตามรอยชนเผ่าอินค่า (ตอนที่ ๕)

Deus e brasileiro (God is Brazillian) เนื่องจากบราซิลมีภูมิประเทศอันสวยงามประกอบไปด้วยทะเล หาดทราย ป่าดงดิบร้อนชื้นรวมถึงเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณอากาศร้อนไปจนถึงลุ่มแม่น้ำอะเมซอนที่มีสัตว์และพืชพรรณไม้ทุกชนิดในโลกอยู่ในประเทศของตนอย่างไม่มีที่ใดเหมือน ก็ไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุไรชาวบราซิลจึงประกาศก้องต่อชาวโลกว่า “พระผู้เป็นเจ้าเป็นชาวบราซิล” เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของฮันส์เริ่มอารัมภบทหลังจากที่ได้ทักทายต้อนรับเพื่อนเก่าเรียบร้อยแล้ว เขามารับเพ็ญและฮันส์ที่สนามบิน กาลีเอโอ Galeao ของเมืองรีโอ เดอ เจเนโร Rio de Janeiro พร้อมภรรยาชาวบราซิล

Urs อ๊วรซ์ ได้มาตั้งรกรากอยู่ในประเทศนี้หลายสิบปีแล้วและได้แต่งงานกับเดนนี่ (Danny) แต่ไม่มีลูกด้วยกัน เขาและภรรยาเป็นเจ้าของโรงแรมบ้านพักแบบบังกาโลว์หลายหลังที่เมือง Paraty พาหร่าติ๊ ซึ่งอยู่บนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคไปทางตอนใต้ของเมืองรีโอประมาณสองร้อยสามสิบหกกิโลเมตร และห่างออกไปทางเหนือของเมืองเซาโพโล Sao Paulo ประมาณสามร้อยสามสิบกิโลเมตร

บังกาโลว์ที่อ๊วรซ์จัดให้ฮันส์และเพ็ญพักเป็นบังกาโลว์แบบเรียบๆ แต่สบายมีห้องนอน ค่อนข้างใหญ่ มีห้องน้ำ หน้าห้องมีเปลญวนแขวนไว้ให้นอนเล่นอ่านหนังสือ เปลสีขาวแข็งแรง นอนสบายเสียจนเพ็ญอยากเอาไปแขวนที่บ้าน ใกล้กันเป็นสระน้ำ ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบเงียบ มีต้นหมากรากไม้แบบในเขตร้อนคล้ายคลึงกับของประเทศไทย แต่อากาศในตอนเช้าและเย็นสบายกว่าอากาศของประเทศไทยมาก ส่วนอ๊วร์ซและเดนนี่มีบ้านอยู่นอกรั้วของโรงแรมออกไป เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว

“พาหร่าติ๊ได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกของโลกอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากสามารถรักษาความงามในแบบโคโลเนียลสไตล์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ พาหร่าติ๊เริ่มตั้งเป็นเมืองในปี ๑๖๖๗ บนแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลแอตแลนติค ขนาบด้วยเทือกเขาที่มีป่าร้อนชึ้นปกคลุม มีชายหาดที่สวยงามมีน้ำทะเลอุ่นสีคราม มีเกาะแก่งมากมายที่เราจะไปเที่ยวได้” อ๊วรซ์กล่าวถึงเมืองที่เขาได้เลือกให้เป็นบ้านถาวรในระหว่างอาหารเย็นวันแรก ที่บ้านของเขา “แรกเริ่มเดิมที พาหร่าติ๊เป็นเมืองที่พวกโจรสลัดมาอาศัยอยู่ และได้ถูกใช้ให้เป็นเมืองท่าสำหรับขนสินค้าต่างๆลงเรือไปประเทศปอร์ตุเกส เช่น ไม้พิเศษชนิดหนึ่งที่มีเยื่อใช้ย้อมผ้า อ้อย ทองคำ และกาแฟ เป็นต้น เนื่องจากประเทศบราซิลอยู่ภายใต้อาณานิคมของประเทศนั้น แต่มาตอนหลังได้กลายเป็นสถานที่พักตากอากาศของชาวเมืองในประเทศด้วยหาดทรายที่สวยและน้ำทะเลที่ใสสะอาด”

ผังเมืองพาหร่าติ๊เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ล้อมรอบด้วยโบสถ์ พิพิทภัณฑ์ ตึกเก่าแก่ในแบบโคโลเนียลสไตล์ อนุสาวรีย์ และอาคารอื่นๆ ที่ขาดไม่ได้คือจตุรัสในใจกลางเมืองอันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศในอาณานิคมสมัยล่าเมืองขึ้น สิ่งก่อสร้างในสมัยศตวรรษที่สิบแปดที่สำคัญทุกแห่งหันหน้าเข้าหาทะเล ถนนแคบๆในตัวเมืองที่ปราศจากยวดยานปูด้วยหิน cobble stone อย่างที่เห็นทั่วไปในยุโรป แต่ที่พาหร่าติ๊ดูจะขรุขระ หยาบและเป็นก้อนใหญ่มากกว่าที่ปูในเมืองอื่นๆ จนต้องอาศัยรองเท้าที่มีพื้นดีจริงๆจึงจะพอเดินได้โดยไม่เจ็บเท้า อ๊วรซ์บอกว่าในสมัยก่อนเวลาชาวปอร์ตุเกสนำเรือมาจากประเทศของตน มักจะไม่มีสินค้าใดๆมาเป็นบรรณาการเจ้าของประเทศ เพราะพวกนี้เป็น “โจรสลัด” หรือที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่า bandeirantes ที่มาปล้นเอาของมีค่าจากประเทศบราซิลไปแต่อย่างเดียวโดยไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยน อย่างเก่งก็เป็นเหล้าที่นำเอามาใช้มอมเมาชาวพื้นเมืองชาวอินเดียน หรือไม่ก็เครื่องไม้เครื่องมือที่ทำด้วยเหล็กสำหรับใช้งาน จึงจำเป็นต้องบรรทุกเอาหินที่ไร้ค่ามาถ่วงน้ำหนักของเรือ พอได้เวลากลับก็ทิ้งไว้ เพราะมีสินค้ามีค่าอย่างอื่นที่ต้องบรรทุกกลับไปปอร์ตุเกส ชาวเมืองจึงเก็บหินเหล่านี้เอาไว้สร้างทางเดิน เพราะตัวเมืองอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณห้าเมตรเท่านั้น ในยามน้ำขึ้นเจิ่งนองตัวเมืองมักจะเฉอะแฉะจมอยู่ในน้ำ หินที่มาทิ้งไว้จึงมีประโยชน์สำหรับสร้างถนนรอบตัวเมือง

วันต่อมาอ๊วร์ซขับเรือยนต์พาแขกไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติคที่มีบ้านพักของเขาตั้งอยู่ นั่งเรือไปได้สี่สิบนาทีก็ไปถึง คนดูแลบ้านมารับที่ท่าน้ำ เพ็ญเงยขึ้นไปบนฝั่งแลเห็นบ้านหลังหนึ่งไม่ใหญ่นักซ่อนตัวอยู่บนโขดหินบนเกาะเล็กๆ ต้องไต่บันไดขึ้นไปอีกหลายขั้นกว่าจะถึงบ้าน เช้าวันนั้นอากาศแจ่มใส ลมเย็นสบาย ท้องฟ้าเป็นสีครามปราศจากเมฆหมอก

เพ็ญมองไปรอบๆด้วยความตื่นตาตื่นใจในความสวยของทะเลและความสงบเงียบที่ครอบคลุมอยู่ทั่วบริเวณ อ๊วรซพาขึ้นไปชมบ้านที่สร้างแข็งแรงด้วยหินข้างนอกตัวบ้านและข้างในเป็นไม้ เป็นแบบที่เรียบง่าย แต่ใช้สอยได้ทุกตารางนิ้ว ไม่มี สิ่ง ใด แสดงความโอ้อวดว่าเจ้าของบ้านเป็นคนมีสตางค์ จากห้องนอนแลเห็นทะเลกว้างใหญ่ ถูกอกถูกใจเพ็ญมาก ยิ่งตอนยืนอยู่บนระเบียงด้วยแล้ว ทิวทัศน์อันตระการตาของมหาสมุทรทำให้เพ็ญคิดว่ากำลังอยู่อีกโลกหนึ่ง หากสวรรค์มีจริงที่นี่ก็เป็นสวรรค์บนพื้นดินโดยแท้ เป็นวิวที่สวยที่สุดวิวหนึ่งที่เพ็ญได้เคยเห็นมา แม้ว่าเพ็ญจะอยู่เมืองลูเซิร์นที่มีทั้งทะเลสาบและภูเขา และเพื่อนหลายคนของเพ็ญมีบ้านที่แลเห็นวิวของทะเลสาบลูเซิร์นและภูเขารอบๆ ก็ยังไม่จับใจเท่าวิวที่เพ็ญเห็นบนเกาะนี้ จนเพ็ญเอ่ยปากบอกเจ้าของบ้านว่าอยากจะขอแบบไปสร้างบนที่ของเพ็ญบ้างที่หาดนาใต้ จังหวัดพังงา เพ็ญติดใจไปหมดทุกอย่างแม้แต่สระว่ายน้ำธรรมดาเล็กๆที่เชิงบันได้ เพราะทุกอย่างช่างกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบตัวไปหมด อ๊วรซ์เชื้อเชิญด้วยความเต็มใจให้ไปพัก จะอยู่นานเท่าใดก็ได้ เพราะเขาและเดนนี่ภรรยาไม่ค่อยจะมีเวลามาใช้บ้านพักเลย เพ็ญบอกว่าอยู่นานๆคงจะเบื่อ เพราะไม่มีอะไรทำนอกจากกินและนอน เขาบอกว่าให้เพ็ญเอาแล๊ปท๊อปมาเขียนหนังสือ แต่ว่าพาหร่าติ๊อยู่ไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว จะไปจะมาแสนจะลำบากและกว่าจะมาถึงเกาะได้ก็ต้องใช้เรือเป็นพาหนะ

ตอนกลางวันอ๊วรซ์พาไปกินอาหารที่ร้านอาหารบนเกาะใกล้ๆกัน เพ็ญและฮันส์ทำตนเป็นแขกที่ดี ให้เจ้าของบ้านสั่งอาหารและเครื่องดื่มของชาวพื้นเมือง เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยแก้วแรกที่จิบ ทำให้เพ็ญคิดว่าตายแล้วไปเกิดใหม่ เพราะอร่อยมาก เรียกว่า บาตี้ ดา มารากู๊จ้า Bati da Maracuja เป็นเครื่องดื่มที่ผสมแพชั่นฟรุ๊ทและว๊อดก้า อร่อยจนเพ็ญต้องขอให้อ๊วร์ซสั่งมาเป็นแก้วที่สอง ส่วนอาหารเป็นแกงเหลืองของชาวเกาะคล้ายกับบูยาเบสของฝรั่งเศสที่ใส่อาหารทะเลจำพวกปลาและกุ้ง เสริฟมากับข้าวร้อนเรียกว่า มุกเกก้า Muceca รสชาดพอใช้ได้ แต่สู้แกงเหลืองของไทยไม่ได้ ส่วนเครื่องดื่มที่อร่อยอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมากของชาวบราซิลที่รองลงมาจากเบียร์คือ ไคพิรินย่า Caipirinha ที่ทำจากเหล้ากลั่นจากน้ำอ้อยเรียกว่า คาชาค่า Cachaca ผสมน้ำมะนาวและเหล้ารัมกับน้ำแข็งก้อน ดื่มแล้วชุ่มชื่นใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนร้อนๆ

ที่พาหร่าติ๊นอกจากร้านอาหารบราซิลแล้วก็มีร้านอาหารอิตาเลียนมากที่สุด เพ็ญแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นร้านอาหารไทยเล็กๆแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าไปดู อ๊วร์ซบอกว่าไม่ใช่ของคนไทยแต่เป็นของชาวบราซิล และอาหารก็ประกอบโดยชาวบราซิลเอง เพราะฉนั้นถึงแม้จะมีโอกาสเพ็ญก็ไม่ได้นึกอยากเข้าไปทดลอง นอกจากนั้นเวลาไปเที่ยวต่างประเทศเพ็ญก็อยากจะลองกินอาหารของประเทศนั้น ซึ่งเพ็ญถือว่าเป็นประสบการณ์และเป็นกำไรของชีวิต นอกจากอาหารนั้นจะพิสดารเหลือทนจริงๆเท่านั้น

เมืองแซมบ้า

พักอยู่ที่พาหร่าติ๊ได้สามคืน ก็ได้เวลาเดินทางไปเมืองรีโอ เดอ เจเนโร โรงแรมที่พักตั้งอยู่ในส่วนเว้าบนชายหาด โคปาคาบาน่า Copacabana ที่มีชื่อเสียงของโลก ห้องพักที่จองมาอยู่บนชั้นที่ยี่สิบ หันหน้าไปทางมหาสมุทรแอตแลนติค แลเห็นวิวโดยรอบได้ชัดเจนจากระเบียงห้องพัก แม้ว่าอากาศส่วนใหญ่ในช่วงนั้นจะสลัวด้วยหมอก เมืองรีโออาจจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงแย่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกในเรื่องอาชญากรรม แต่การวางผังเมืองตามฝั่งชายทะเลของเขาประทับใจเพ็ญมาก จนนึกอยากจะให้เมืองตามฝั่งชายทะเลของไทยโดยเฉพาะภูเก็ตแถวป่าตองมีผังเมืองเช่นนั้นบ้าง คงจะไม่ฝันเกินเอื้อมหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบของไทยได้มีโอกาสไปเที่ยวที่นั่น หรือสารคดีของเพ็ญสามารถให้ความคิดใหม่ๆหรือความบันดาลใจได้บ้าง จะว่าไปแล้วหาดทรายของเขาสวยน้อยกว่าภูเก็ตหลายเท่า แต่บนชายหาดอันยาวเหยียดทุกแห่งไม่มีเก้าอี้นอน หรือร่มสีสวยเอาไว้ให้เช่า ไม่มีนักท่องเที่ยวคนใดเรียกร้องเชิงข่มขู่ว่าหากไม่มีเก้าอี้นอนหรือร่มเขาจะไม่มาเที่ยวอีก ทางการอนุญาตให้ผู้คนได้ไปออกกำลังกาย เล่นกิฬาต่างๆ เช่นแบดมินตัน วอลเล่ย์บอลล์ แฮนด์บอลล์ บีชบอลล์ ฯลฯ จะเห็นชาวเมืองมาใช้ชายหาดกันตลอดทั้งวัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งหญิงและชาย ถัดจากชายหาดเข้าไปเป็นทางเดินเท้าปูด้วยอิฐเรียบร้อย มีซุ้มเล็กๆขายเครื่องดื่มและอาหารจำพวกแซนด์วิชจัดไว้เป็นแห่งๆมีโต๊ะและม้านั่งไม่กี่ตัว ถัดไปอีกหน่อยเป็นถนนสำหรับรถจักรยานตามด้วยถนนสำหรับให้รถวิ่งได้หกเลนแต่แบ่งด้วยเกาะกลางถนนซึ่งมีเสาไฟฟ้าและต้นไม้ปลูกให้ร่มเงาเป็นระยะๆ หลังจากนั่นจึงจะมีอาคารสูงเช่นโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ อพาร์ทเมนท์ ร้านขายของและอาคารอื่นๆ มีทางเท้ากว้างใหญ่ให้คนเดินอย่างไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรถทับตาย ทุกอย่างแลดูเป็นระเบียบไม่ขัดตา ความฝันของเพ็ญจะเป็นจริงบ้างไหมนี่ที่จะให้เมืองตามฝั่งทะเลของไทยสร้างแบบนี้บ้าง?

เย็นวันแรกที่ไปถึงเมืองรีโอ เพ็ญและฮันส์ชวนกันไปกินอาหารที่ภัตตาคาร พอร์เคา Porcao ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ เพราะทั้งประเทศอาร์เจนตีน่าและประเทศบราซิลมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องปศุสัตว์ ผลิตเนื้อสัตว์ทั้งหมู วัวตลอดจนแพะและแกะได้นุ่มนวลอร่อยมาก แถมราคายังน้อยกว่าที่สวิสหลายเท่า ทางโรงแรมจองโต๊ะไว้ให้ล่วงหน้าเพราะร้านอาหารแน่นตลอดทั้งวันโดยเฉพาะในตอนบ่ายและค่ำ กลางห้องอาหารที่กว้างใหญ่มีสลัดชนิดต่างๆตลอดจนอาหารเรียกน้ำย่อยจำพวกปลา กุ้ง ไส้กรอก ขนมปังต่างชนิดดูลานตา

ระหว่างนั่งกินสลัด บ๋อยแต่ละคนจะเวียนกันเอาเนื้อชนิดต่างๆที่เสียบไว้กับเหล็กมาฝานเป็นชิ้นบางๆตรงหน้า เสริฟให้เลือกเอาตามใจชอบ บนโต๊ะมีกระดาษแข็งตัดกลมๆสีเขียวและสีแดงมีภาษาปอร์ตุเกสซึ่งเป็นภาษาประจำชาติของบราซิลเขียนไว้ สีแดง “Nao” แปลว่า ไม่เอา สีเขียว “Sim”แปลว่า เอา ถ้าเปิดไปด้านสีเขียวบ๋อยก็จะนำเอาเนื้อมาเสริฟให้ หากเปิดสีแดงเขาก็จะหยุด จะกินสักเท่าไรก็ได้จนพอใจ จะกินน้อยกินมากราคาเท่ากันหมด ตลอดเวลาสี่วันที่พักอยู่ที่เมืองรีโอ ฮันส์และเพ็ญไปกินอาหารประเภทนี้ทุกมื้อ แต่สลับกับอีกร้านหนึ่งชื่อ “มารีอูส” Marius ที่มีชื่อพอๆกับ พอร์เคา เพียงแต่ว่าร้านมารีอูสแบ่งเป็นสองร้านคือร้านที่ขายเฉพาะปลาร้านหนึ่งและขายเนื้ออีกร้านหนึ่ง ที่ดีอีกอย่างของร้านนี้คือไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก ส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นเมืองแท้ๆ ร้านอาหารประเภทนี้ขึ้นชื่อมาก แต่ที่หรูที่สุดก็เป็นสองร้านนี้ ส่วนร้านอื่นๆเป็นร้านอาหารเล็กๆ มีโต๊ะยาวเหยียดจัดไว้ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และชนิดของเนื้อที่เสริฟ ก็มีน้อยกว่ามากและมีคุณภาพด้อยกว่า เพ็ญรู้เพราะถูกหลอกมาแล้ว

เมืองรีโอเป็นที่เดียวที่ฮันส์และเพ็ญไม่ได้จองรถและไกด์ไว้ล่วงหน้า จึงไปด้อมๆมองๆแถวหน้าโรงแรม จึงพบโจวานนี่คนขับแท๊กซี่ป้ายดำในตรอกข้างๆ ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร เขามีป้ายชื่อติดอยู่บนหน้าอกอย่างชัดเจนและบอกว่าทำงานอยู่แถวนี้มาสิบห้าปีแล้ว ลักษณะท่าทางทำให้คิดว่าคงจะไว้ใจได้ไม่หลอกพาแขกไปปู้ยี่ปู้ยำที่ไหน ฮันส์จึงตกลงว่าจ้างให้ขับรถให้ตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ที่เมืองรีโอ นอกจากจะเป็นโชเฟอร์ที่ดีแล้ว โจวานนี่ยังเป็นไกด์ที่ดีอีกต่างหาก รู้จักเมืองรีโอทุกตารางนิ้ว

เขาพาไปขึ้นเขาก้อนน้ำตาล Sugar Loaf ที่มองเห็นจากโรงแรม เขาก้อนน้ำตาลสูงไม่เท่าไรนัก อาจจะอยู่ในราวห้าหกร้อยเมตร แต่ก็ต้องเปลี่ยนรถกระเช้าไฟฟ้าถึงสองครั้ง มองลงมาจากเขาแลเห็นชายหาดโคปาคาบาน่าที่ยาวถึงสี่กิโลครึ่งอยู่ข้างล่าง อีกข้างหนึ่งเป็นสนามบินภายในประเทศ ซึ่งมีเครื่องบินเจ๊ตบินขึ้นและลงอยู่ตลอดเวลาจากเมืองเซาโปโล สนามบินแห่งนี้สร้างขึ้นบนฝั่งทะเลที่ถูกถมด้วยทราย หลังจากนั้นโจวานนี่ก็ขับรถไปตามฝั่งมหาสมุทร พาไปขึ้นเขา คอร์โควาโด้ Corcovado ซึ่งสูงประมาณ ๗๑๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

บนเขาแห่งนี้มีอนุสาวรีย์ Christ the Redeemer สูงใหญ่เห็นแต่ไกลไปทั่วเมืองรี โอ แขนทั้งสองข้างเหยียดออกเต็มที่ในลักษณะพระเยซูFa152005_0614_211953AAถูกตรึงกางเขน ยิ่งมองตอนกลางคืนที่มีแสงไฟส่องด้วยแล้ว แลดูเหมือนว่าพระคริสต์จะลอยอยู่เหนือท้องฟ้าของเมืองรีโอ หากไม่ไปกับรถทัวร์หรือรถแท๊กซี่ก็อาจจะขึ้นไปได้โดยรถไฟค๊อกวีล

“ทำไมชาวเมืองตั้งชื่อเมืองว่า รีโอ เดอ เจเนโรล่ะคะไม่เห็นมีเม่น้ำที่นี่เลยสักแห่ง รีโอแปลว่าแม่น้ำไม่ใช่หรือคะ?” เพ็ญถามขึ้นในตอนหนึ่งขณะที่โจวานนี่ขับรถไปบนถนนที่ทอดคดเคี้ยวไปตามอ่าวของฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค “เป็นความเข้าใจผิดของนักสำรวจชาวปอร์ตุเกสน่ะครับ ตอนที่เขาล่องเรือเข้ามาในอ่าวใหญ่ในน่านน้ำแห่งนี้ ในเดือนมกราคม ๑๕๐๒ เขาคิดว่ากำลังล่องอยู่ในแม่น้ำ จึงตั้งชื่อว่า แม่น้ำมกราคม January River” โจวานนี่อธิบาย “ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติแรกที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แต่พวกปอร์ตุเกสเกรงว่าชาวฝรั่งเศสจะยึดเอาเมืองไปครองเลยไล่พวกฝรั่งเศสออกไป ตัวเองเข้ามาอยู่แทน ตอนแรกก็ปลูกไร่อ้อยและค้าทาษ เพราะฉนั้นเขาที่คุณไปขึ้นเมื่อเช้าจึงถูกตั้งชื่อว่า ภูเขาก้อนน้ำตาลเพราะไร่อ้อยที่ผลิตน้ำตาลนั่นเอง พอทองคำถูกค้นพบบ้านเมืองก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งหลังจากที่มีการปลูกกาแฟแทนอ้อยด้วยแล้ว ยิ่งมีผู้คนอพยพมาจากที่ต่างๆมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจากยุโรป

เพราะกาแฟส่วนใหญ่ที่ส่งออกไปขายทั่วโลกในสมัยนั้นมาจากประเทศบราซิล ปัจจุบันเมืองรีโอมีพลเมืองอยู่ประมาณเจ็ดล้าน เรียกตนเองว่า Carioca ชาวคารีโอค่ารักสนุกครับ ชอบเต้นแซมบ้าและมีงานรื่นเริงต่างๆกันเป็นประจำ ดังนั้นจึงมีคาร์เนวัลทุกปี และพวกเขาก็อยากจะให้คนอื่นๆมาร่วมสนุกด้วย คาร์เนวัลที่ไหนก็สู้ของที่นี่ไม่ได้หรอกครับ เราจึงเรียกเมืองของเราว่า เมืองมหัศจรรย์ marvelous city เพราะนอกจากชายหาดและภูมิประเทศที่สวย แล้ว บราซิลยังมีนักเตะฟุตบอลล์ที่ทั้งโลกต้องอิจฉา ทีมของเราไม่ต้องเตะลูกบอลล์หรอกครับ เพียงแต่เต้นแซมบ้าไปตามสนามเท่านั้น ก็ได้ชัยชนะการแข่งขันฟุตบอลล์โลกถึงห้าครั้ง ซึ่งไม่มีใครทำได้” โจวานนี่ไม่ได้โม้ แต่เล่าแบบบมีอารมณ์ขัน “ทั้งๆที่เป็นเมืองมหัศจรรย์นี่แหละครับเราก็มีปัญหามากมายทั้งในด้านสาธารณูประโภคและมีปัญหาเรื่องคนตกงานเยอะแยะ” โจวานนี่พูดแบบปลงตก

“ตอนที่เราขึ้นไปบนเขาคอร์โควาโด้ ผมสังเกตเห็นบ้านเรือนสร้างอยู่แออัดตามไหล่เขา ไม่ทราบว่าบริเวณนั้นป็นสลัมหรือเปล่า?” ฮันส์ถาม “ผมได้ข่าวว่าเมืองรีโอเป็นเมืองหนึ่งที่มีอาชญากรรมสูงที่สุดในโลก จริงไหมครับ?”

“จริงครับ ที่คุณเห็นนั่นเป็นสลัมใหญ่ที่เรียกว่า favelas มันอยู่ซับซ้อนกันจนดูไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นสลัมและส่วนไหนเป็นไหล่เขา” โจวานนี่ตอบ

“น่าสนใจนะครับ ที่สลัมไปสร้างอยู่บนไหล่เขา แทนที่จะไปยัดเยียดอยู่ใจกลางเมือง ที่ประเทศของผม คนที่สร้างบ้านอยู่บนเขามักจะเป็นคนมีสตางค์นิดหน่อย เพราะต้องการเห็นวิว และต้องมีการก่อสร้างที่ดีและแข็งแรง ไม่เช่นนั้นเวลามีหิมะหรือฝนตกจะเกิดแผ่นดินถล่มเซาะให้บ้านเรือนเสียหาย” ฮันส์เล่า “ผมอยากจะเข้าไปถ่ายรูปจะได้ไหมครับ?”

“เข้าไปไม่ได้หรอกครับ ที่นั่นอันตรายมากไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน คุณจะถูกทำร้าย แถมจะถูกปล้นจนหมดตัวเลยทีเดียว แม้แต่หาดโคปาคาบาน่าที่คุณพัก ตอนค่ำๆก็ไม่ควรจะเดินไปตามชายหาด เพราะตอนนั้นไม่มีตำรวจรักษาการณ์ หากเป็นตอนกลางวันและคุณระวังตัวไม่เอาของมีค่าติดตัวไปก็ไม่เป็นไร ที่กลางใจเมืองก็ต้องระวังเหมือนกัน ถ้าเป็นตอนกลางวันในวันธรรมดาก็ไม่สู้เท่าไร แต่อย่าอุตริไปเดินตอนกลางคืนหรือในวันสุดสัปดาห์นะครับ เพราะชาวเมืองคนอื่นๆเขาไม่ออกมาเดินกัน ที่ปลอดภัยที่สุดคือควรจะแต่งตัวและทำตัวให้กลมกลืนไปกับชาวเมือง ถ้าหากขึ้นรถโดยสารประจำทางก็ต้องระวังหน่อย แต่คุณก็ไม่ขึ้นอยู่แล้ว จึงหมดปัญหาไปเปลาะหนึ่ง” โจวานนี่เตือนด้วยความหวังดี

“แล้วทำอย่างไรผมจึงจะได้รูปล่ะครับ?” ฮันส์เร่งเร้า

“ตอนนี้เย็นแล้วไม่มีแดด เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกันนะครับ ผมจะขับรถไปจอดบนถนนที่ใกล้ ฟาเวลาส ที่สุด แล้วให้คุณลงไปถ่ายรูป จะได้ไม่ย้อนแสงด้วย” โจวานนี่อาสา

ตอนค่ำของคืนวันนั้น เพ็ญและฮันส์ซื้อตั๋วจากบริษัทท่องเที่ยวที่มีชื่อในรีโอไปชมเมืองในยามราตรี Rio By Night ที่บริษัทบอกว่ารวมอาหารเย็นในภัตตาคารหรูซึ่งเพ็ญเข้าใจว่าคงจะเป็นร้านแบบที่ไปกินเมื่อเย็นวันก่อน หลังอาหารเขาจะพาไปชมการเต้นแซมบ้าที่มโหฬารที่โรงละคร Star of Brazil ในเวลาสี่ทุ่ม เพ็ญต้องผิดหวัง เพราะ ร้านอาหารที่บริษัททัวร์พาไปเป็นร้านธรรมดาๆไม่มีอะไรพิเศษแบบพอร์เคาหรือมารีอูสที่ฮันส์และเพ็ญไปกินมา ถ้าหากไม่เคยได้ลิ้มรสในร้านที่ว่ามาก่อน ร้านอาหารที่เขาพาไปก็ไม่เลว แต่ก็ไม่ใช่ร้านอาหารชั้นหนึ่งที่บริษัทโฆษณาไว้ในโบรชัวร์ แถมยังต้องรีบกินเพราะรถจะต้องไปรับแขกจากโรงแรมต่างๆที่จองตั๋วไปดูแซมบ้า เพ็ญก็เลยถือโอกาสนั่งชมเมืองรีโอในยามค่ำคืน

มีผู้เข้าชมไม่มากนัก ไม่เหมือนที่กรุงบัวนอสแอเรสที่มีคนเข้าชมแทงโกกันแน่นโรง ในระหว่างที่นั่งรอการแสดงแซมบ้า มีนักร้องชายออกมาครวญเพลงเก่าเพราะๆหลายเพลงพร้อมกับเชิญชวนให้ผู้ชมร้องร่วมด้วย แต่เพ็ญร้องด้วยไม่ออกทั้งๆที่เป็นเพลงที่คุ้นเคยเพราะขัดใจกับการแต่งกายของนักร้องในวัยกลางคนซึ่งไม่เหมาะกับกาละเทศะ แถมหนวดเครายังไม่โกนอีกต่างหาก หากเป็นเด็กหนุ่มเพ็ญก็จะอภัยให้ในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่นักร้องผู้นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าสมัยนี้จะเอาอะไรกันนักหนา แต่เพ็ญฟิวส์ขาดเสียแล้ว เพราะมีความรู้สึกว่าเขาดูถูกผู้เข้าชมซึ่งเสียค่าบัตรผ่านประตูไปคนละไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเงินดอลล่าร์หรือเงินฟรังค์สวิส ส่วนการเต้นแซมบ้าแม้ว่าจะมโหฬารและการแต่งกายก็วิริศวิมาหรา แต่เพ็ญก็ไม่ติดใจเหมือนที่ติดใจและซาบซึ้งเท่ากับการแสดงเต้นแทงโกที่กรุงบัวนอสแอเรส แถมไกด์ที่พาไปยังเคี่ยวเข็ญให้นักท่องเที่ยวตอบคำถามโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่พวกเขาเบื่อกันเต็มที แต่สุภาพเกินไปที่จะพูดอะไรออกมา ทำไมหนอไกด์บางคนจึงคิดว่าเขาจะต้องหาอะไรต่ออะไรมาเล่าให้แขกฟังตลอดเวลา จะปล่อยให้แขกได้นั่งสงบดูอะไรต่ออะไรตามสบายบ้างไม่ได้หรือ?

วันรุ่งขึ้นโจวานนี่มารับตามที่ตกลงกันไว้ เขาขับรถไปจอดทางฝั่งตรงกันข้ามกับฟาเวลาส ฮันส์ปีนขึ้นไปบนสะพานที่ทอดข้ามถนนที่รถวิ่งอยู่ข้างล่าง เลือกมุมต่างๆได้หมดทุกมุมและถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจ สลัมของเมืองรีโอใหญ่จริงๆ โจวานนี่บอกว่าเฉพาะสลัมแห่งนี้แห่งเดียวมีคนอาศัยอยู่ถึงเจ็ดแสนกว่าคนซึ่งเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มิน่าเล่าใครๆจึงเตือนให้ระวังเรื่องอาชญากรรม

โจวานนี่เลือกถนนที่ผ่านไปตามชายหาดเพื่อไปเข้าตัวเมืองเขาบอกว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวรีโอเมื่อได้ชมสถานที่ต่างๆทางประวัติศาสตร์แล้ว ก็อยากจะเห็นหญิงสาวรูปร่างสวยในชุดว่ายน้ำเดินบนชายหาด หาดทรายของเขาสวยไม่เลว ถ้าหากไม่ใส่ใจกับสลัมและอาชญากรรมของรีโอแล้ว เพ็ญก็ติดใจการวางผังเมืองตามชายฝั่งต่างๆของเขาซึ่งไม่น่าเกลียดและรกรุงรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ อิพาเนม่า Ipanema และเลบลอน Leblon ซึ่งอยู่ติดกับหาดโคปาคาบาน่าและเป็นที่อยู่อาศัยของชาวคาริโอค่าหนุ่มๆสาวๆที่ร่ำรวยสวยสะอางค์

พอเข้าตัวเมืองเก่าจราจรก็เริ่มติดขัด เพ็ญจึงมีโอกาสได้ชื่นชมกับตึกรามเก่าแก่สวยๆหลายหลัง รวมถึงสวนงามๆอีกหลายแห่ง ในที่สุดโจวานนี่ก็จอดรถให้แขกลงเพื่อเข้าไปดูวิหารสมัยใหม่มหึมาสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ๑๙๗๖ หลังจากนั่นก็ขับพาขึ้นเขาไปยัง ซานตา เทเรซ่า Santa Theresa ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเสน่ห์น่ารักมองเห็นเมืองรีโอได้เกือบจะทั่ว ตึกรามเก่าแก่ที่จะพังมิพังแหล่ได้กลายเป็นที่อยู่ของศิลปินวาดรูปและนักดนตรี ทว่าตึกเหล่านี้ก็ยังคงความงามในแบบเก่าเอาไว้ให้เห็น

น้องชายเพ็ญชอบฟุตบอลล์ พอได้ข่าวว่าเพ็ญจะไปเที่ยวบราซิลก็กำชับนักหนาให้ไปเที่ยวสนามฟุตบอลล์ มาราคานย่า Maracana ของเมืองรีโอให้ได้ เพ็ญจึงบอกความประสงค์กับโจวานนี่ พอไปถึงและจ่ายค่าผ่านประตูแล้ว เพ็ญก็ได้เข้าไปในตึกสมใจ ตรงทางเข้าเป็นลานใหญ่มีรอยเท้าของนักฟุตบอลล์ชื่อเสียงก้องโลกชาวบราซิลประทับไว้ อาทิ เปเล่และโรนาลโด้ มาราคานย่าเป็นสนามฟุตบอลล์ที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของโลก ขณะที่เพ็ญไปเที่ยวสนามว่างวาย เพราะเขากำลังทำการซ่อมแซมและปรับปรุงอย่างขนานใหญ่ แต่เปิดอัฒจรรย์ให้เข้าไปชมได้ ปิดไว้แต่เพียงส่วนที่เป็นที่นั่งของวีไอพี อย่างไรก็ดีด้วยความรักน้อง เพ็ญอุตส่าห์ปีนเข้าไปยืนถ่ายรูปติดกับที่นั่งของวีไอพีจนได้

ระหว่างทางที่ผ่านไปสนามฟุตบอลล์ โจวานนีไปแวะหยุดที่แซมโบโดรโม่Sambodromo

“อย่างที่ชาวโลกรู้ คาร์เนวัลของรีโอจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันอังคาร ก่อนหน้าเทศกาลถือศีลอดของชาวคาธอลิค Lent ในราวเดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคม พวกที่จะเข้าขบวนพาเหรดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ละคนเขียนหน้าตาเนื้อตัวด้วยสีสันฉูดฉาด แต่งกายด้วยกางเกงชิ้นน้อยแบบจีสตริงรัดง่ามก้นอยู่เส้นเดียว ประดับเพชรนิลจินดา (เก้) กันเต็มตัวไปหมด บนหัวมีหมวกขนนกปักฟู่ฟ่า บางคนถึงกับโชว์ถันสล้าง มีแต่เพียงเพชรปิดหัวนมนิดเดียวเท่านั้น ขึ้นไปเต้นแซมบ้ากันอย่างสุดเหวี่ยงบนรถที่เคลื่อนช้าๆไปตามถนนที่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนจากทั่วโลก ติดตามด้วยนักตีกลองร้องเพลง ดนตรีบรรเลงอย่างเร้าใจ อย่างที่คุณได้เห็นที่ Star of Brazil หรือทางทีวีมาแล้ว”

“คนที่ขึ้นไปร่วมขบวนพาเหรดบนรถเต้นแซมบ้าได้ทุกคนหรือคะ?” เพ็ญถาม

“ถ้าตามขบวนไป ใครๆก็เต้นตามไปได้ แต่พวกที่ร่วมขบวนพาเหรด มักจะเป็นพวกที่เคยไปเรียนเต้นมาแล้วที่โรงเรียนสอนเต้นแซมบ้า escolas de samba ที่มีอยู่ถึงสิบสี่แห่ง แต่ละแห่งก็ประกวดประขันกันเต็มที่ในเรื่องการเต้นและการแต่งกาย เขาเริ่มเรียนกันตั้งแต่เดือนสิงหาคมแน่ะครับ ก็เตรียมตัวกันอยู่หลายเดือนเหมือนกัน” โจวานนี่ตอบ “ถึงแม้ว่าจะมีฉลองคาร์เนวัลกันแทบจะทุกครัวเรือน แต่ส่วนใหญ่ที่เข้าขบวนพาเหรดเต้นแซมบ้ามักจะมาจาก “ฟาเวลาส” พวกที่มีการศึกษาหรือรวยหน่อยมักจะจัดปาร์ตี้ของตนเองที่บ้าน”

จริงอย่างที่โจวานนี่พูด ที่หน้าโรงเรียนสอนเต้นแซมบ้าทุกแห่ง มีคิวยาวเหยียดรอสมัครเข้าเรียนกันเป็นแถว หากเป็นคนที่มีงานทำก็คงจะไม่มีเวลามายืนเข้าคิวรอสมัครเต้นแซมบ้าเป็นแน่ ใกล้โรงเรียนสอนแซมบ้า มีร้านใหญ่ให้เช่าเครื่องแต่งกาย มีนักท่องเที่ยวหลายคนเข้าไปขอเช่าเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

แม้ว่ากรุงบราซิลเลีย Brasillia จะเป็นเมืองหลวงของประเทศบราซิลซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นที่ห้าของโลก รองลงมาจากรัสเซีย แคนาดา จีน และสหรัฐฯ และมีพลเมืองถึงร้อยเจ็ดสิบล้านคน แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักกันแต่มืองรีโอ เดอ เจเนโร กันมากกว่าเมืองอื่นๆ โดยทั่วไปเพ็ญชอบประเทศในอเมริกาใต้ ทั้งภูมิประเทศ อากาศและผู้คนรวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่ม เพ็ญจึงตั้งใจที่จะกลับมาเยือนประเทศในแถบนี้อีกในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อไปเที่ยวที่อื่นๆที่ยังไม่เคยไป และเพื่อติดตามรอย “ชนเผ่าอินค่า” อีกครั้งหนึ่ง

จบ