หมองูตายเพราะงู

ท้องฟ้าในช่วงฤดูฝนปกคลุ่มไปด้วยกลุ่มเมฆหมอกอันหนาทึบสีเทาที่ค่อยๆเลื่อนลอยต่ำลงมา อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฝนก็เริ่มกระหน่ำลงมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้นดูเหมือนว่าสวรรค์จะเปิดอ้า ปล่อยให้น้ำที่ขังอยู่เบื้องบนไหลลงสู่พื้นดินจนเจิ่งนองไปทั่ว น้ำจากสายฝนตกลงมากระทบหลังคาสังกะสีที่ใช้มุงบ้านแบบบังกะโลหลังเล็กเท่าแมวดิ้นตายของอนงค์ ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกระตุ้นความหงุดหงิดของหญิงสาวเจ้าของบ้านเป็นทบเท่าทวีคูณ

อนงค์หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้โยกตัวเก่าที่ตั้งอยู่ในห้องนอนแคบๆ กระโปรงสีแดงคับแนบกายรูดขึ้นมาจนเกือบถึงขาอ่อน เสื้อคับๆสีเดียวกันก็คว้านเสียจนลึก อวดรูปทรงอันอวบอัดจนไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้เป็นปริศนาขบคิดแก่ผู้ที่เห็นอีกต่อไปหล่อนจุดบุหรี่แล้วคาบไว้ระหว่างริมฝีปากที่วาดไว้ด้วยลิปสติกสีแดงเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ แก้มแดงของหล่อนดูจะแลโดดเด่นท้าทายความมืดในห้องนอน หล่อนก้มดูนาฬิกาเหนือข้อมือ มันเพิ่งจะบ่ายห้าโมงเย็นเท่านั้น แต่สำหรับหล่อนแล้วมันเหมือนกับจะเป็นเวลาเที่ยงคืนเสียมากกว่า เพราะความมืดครึ้มที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ สายฝนยังคงฟาดกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะซาลงง่ายๆ

ในช่วงระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา ชีวิตของหล่อนช่างเงียบเหงา หล่อนจำต้องหยุดกิจการไว้ชั่วคราว นับตั้งแต่ “คนของพระผู้เป็นเจ้า” ได้เริ่มแวะเวียนมาหาอนงค์ที่บังกะโล “ให้ตายสิ” หล่อนคิด “ทำไมเขาจึงได้แส่มายุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัว ทำไมเขาจึงไม่ปล่อยให้หล่อนทำในสิ่งที่หล่อนได้ทำมาแล้วเป็นปีๆ” หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก เดินออกจากห้องนอนไปยังระเบียงแคบๆของบังกะโลที่เปียกชุ่มด้วยน้ำฝน “คงจะเป็นยายชีคร่ำครึที่โรงพยาบาลนั้นแหละที่ปากบอนไปเล่าเรื่องของหล่อนให้บาทหลวงฟังไม่เช่นนั้นที่ไหนเลยคุณพ่อ (หมายถึงบาทหลวงผู้เขียน) จะรู้เรื่อง ” หล่อนเฝ้าคำนึงอย่างโกรธจัด “พวกแม่ชีมีหน้าที่สวดมนต์ภาวนา ไม่มีหน้าที่ทำปากโป้งสอดรู้สอดเห็น นินทาชาวบ้าน ทำไมหนอพวกนี้จึงไม่ปล่อยให้ข้าได้อยู่อย่างสงบ มันไปหนักกบาลใครด้วยว่าข้าทำมาหากินอะไร อาชีพของข้าไม่ใช่อาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลกหลอกรึ ข้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ไปหลอกลวงใครตลบตะแลงใคร มันเป็นอาชีพสุจริต ไม่ใช้ข้ารึที่ทำให้พวกหนุ่มๆ ที่กรมป่าไม้มีความสุข และพวกมันก็จ่ายเงินให้ข้าจนจุใจ เพราะมันดีใจที่มีคนอย่างข้าช่วยให้มันหายเหงาคลายความคิดถึงบ้านในกรุง ไปอักโข ใครจะมารู้ดีไปกว่าข้าว่าความเหงาเจียนตายนั้นเป็นเช่นไร ถ้าไม่มีคนอย่างข้า อาจจะมีสาวๆบางคนต้องเดือดร้อนก็เป็นได้ ใครจะรู้ “

อนงค์ชอบฟังเสียงเพลงลูกทุ่งจากเครื่องเล่นจากเสียงเก่าๆ ที่หล่อนเก็บหอมรอมริบซื้อหาเอาไว้ และเก็บรักษาอย่างทะนุถนอมไว้ในห้องนอน มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หล่อนหายเหงาเสียงเพลงดังๆเร้าใจที่เปล่งออกมาจากจานเสียงช่วยให้หล่อนชุ่มชื่น หล่อนมักจะเปิดมันทั้งวันทั้งคืน แต่มาในระยะหลังนี้หล่อนจำใจเลิกเล่นชั่วคราว เพื่อเห็นแก่ ‘คุณพ่อ’ มาคิดอีกที “ช่างแม่ง….เป็นไร มันบ้านของข้า ข้าจะทำอะไรก็ได้”

เร็วเท่าความคิดหล่อนเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนตรงไปเปิดเพลงที่หล่อนชอบ เสียงเพลงดังสนั่นไปทั่วบ้าน หล่อนยิ้มกับตัวเองอย่างสาแก่ใจ สายฝนยังดังกระหน่ำกระทบหลังคาสังกะสีอยู่โคมๆ ‘พระพิรุณคงจะพิโรธ’ หล่อนรำพึง แล้วก็หัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ ที่เดาะใช้ศัพท์แสงหรูหราที่จำมาจากละครโทรทัศน์ที่หล่อนได้เคยดูในตัวเมือง

บาทหลวงเจตน์ หรือที่ใครๆ เรียกกันว่า ‘คุณพ่อเจตน์’ เป็นผู้เคร่งในศาสนา มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศ พระคุณเจ้าจึงมีธุรกิจรอบตัว หาเวลาว่างยาก คุณพ่อคงจะได้กลับไปวัดที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หากว่าแม่ชีที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลคาทอลิกเล็กๆ สามคนจะไม่เล่าให้ฟังถึงหญิง ‘คนบาป’ ที่อาศัยอยู่ในบังกะโลไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก คุณพ่อเจตน์ตั้งใจจะบินมาเพื่อทำพิธี ‘มิสซา’ (พิธีมิสซา คือการทำพิธีทางศาสนาของชาวคาทอลิก ผู้เขียน) ให้กับแม่ชีที่โรงพยาบาล แล้วจะบินกลับในวันเดียวกัน แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวของอนงค์คุณพ่อก็ได้ยืดเวลาการกลับกรุงเทพฯออกไป ท่านรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของท่านโดยตรง ที่จะช่วยให้หญิงผู้หลงผิดผู้นี้ได้กลับตัวกลับใจ กลับเข้ามาอยู่ในแวดวงของศาสนาเช่นเดิม เพราะอนงค์เองนับถือศาสนาคาทอลิกมาก่อน “ใครก็ตามที่เคยถือศีลล้างบาปแล้ว จะต้องดำรงความเชื่อตลอดไป จะเปลี่ยนแปลงนอกลู่นอกทางให้ผิดไปจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหาได้ไม่” ท่านคิด

เมื่อได้ฟังเรื่องราวของอนงค์ พระคุณเจ้าก็ได้ชักชวนให้แม่ชีทั้งสามคุกเข่าลง ร่วมกันสวดภาวนากับท่านเพื่อช่วยให้หญิงที่ทำบาปกลับใจเสียใหม่ คุณพ่อภาวนาด้วยเสียงดังกังวานบทสวดของท่านเต็มไปด้วยความจริงใจ ท่านอ้อนวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้หญิงคนชั่วได้เล็งเห็นว่าการกระทำของหล่อนเป็นบาปหนัก ถ้าตายไปหล่อนจะไม่มีวันได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับ

หลังจากนั้นคุณพ่อก็ได้ไปเยี่ยมอนงค์ที่บังกะโล หล่อนไม่ยอมต้อนรับท่านในตอนแรก แต่คุณพ่อคนดีก็ได้อ้อนวอนขอร้องให้หล่อนได้ฟังท่านพูดบ้าง สักนิดหน่อยก็ยังดี มีครั้งหนึ่งท่านถึงกับเอานรกและปีศาจเข้าข่มขู่ ในที่สุดหญิงสาวก็ได้อ่อนด้วยเล็งเห็นความอุตสาหะและเจตนาดีของคุณพ่อ หล่อนยอมเปิดประตูให้ท่านเข้ามาในบ้าน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเข้ามาในห้องนอนของหล่อนนั่นเอง เพราะมันเป็นห้องเดียวที่หล่อนมีอยู่

แม้ว่าหญิงสาวจะไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อถือในคำพูดของพระคุณเจ้าในตอนแรก แต่หล่อนก็อดทึ่งในความพยายามและคำพูดที่ไฟเราะของท่านเสียมิได้ ลักษณะของนักบวชกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของอนงค์ให้เกิดขึ้น หล่อนใคร่จะรู้ว่าท่านจะมีความอดทนนานเท่าไรกว่าจะเลิกความพยายาม

วันแรกที่คุณพ่อเจตน์มาเยี่ยมอนงค์ท่านได้นำเอาพระคำภีร์ติดมือมาด้วย และได้อ่านบทเทศนาบทหนึ่งให้หล่อนฟัง เป็นเรื่องกานพบปะของพระเยซูกับหญิงที่ได้ประพฤติผิดในกามคำสั้งสอนของพระองค์ทำให้หญิงผู้นั้นซาบซึ้งและกลับใจได้ในที่สุด อนงค์เข้าใจความหมายของบทเทศนาได้แจ่มแจ้ง เพราะหล่อนเองก็นับถือศาสนาคาทอลิก และเคยได้ฟังเรื่องนี้มาแล้วที่โบสถ์ในสมัยก่อน

นอกจากนั้น ท่านนักบวชยังได้ให้หล่อนสัญญาว่าจะไม่ออกไปมั่วสุมกับผู้ชายคนใดอีกต่อไป ท่านจะหาทางช่วยให้อนงค์ได้มีงานทำที่โรงพยาบาล แต่จะต้องปรึกษาแม่ชีดูก่อนว่าจะมีงานอะไรให้หล่อนทำได้บ้าง แล้วท่านก็ได้ให้คนเอาเงินมาให้หล่อนเล็กน้อยเป็นค่าใช้จ่ายในระยะที่หล่อนยัง ‘ว่างงาน’ สิ่งเดียวที่ท่านปรารถนาคือการกลับใจของอนงค์อย่างไม่มีเงื่อนไข

หลังจากนั้นคุณพ่อก็มาเยี่ยมหล่อนทุกวัน ได้อ่านพระคัมภีร์บทเทศนาของพระเยซูและคุกเข่าสวดภาวนา โดยมีหล่อนอยู่เคียงข้างจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ล่วงเข้าไปถึงหนึ่งสัปดาห์แล้ว

หญิงสาวยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเวลาหกโมงพอดี หล่อนแง้มเปิดหน้าต่างห้องนอนออกไป บริเวณนอกบังกะโลมืดสนิท ฟ้าแลบมาแวบหนึ่ง หล่อนเห็นใบมีดขาววับเป็นประกายบนระเบียง มันคงจะเป็นมีดโกนที่หล่อนลืมทิ้งไว้เมื่อตอนบ่ายนั้นเองหล่อนรีบปิดหน้าต่างโดยเร็ว เมื่อฝนเริ่มสาดเข้ามา อนงค์ชักจะไม่แน่ใจเสียว่าคุณพ่อจะมาหาหล่อนหรือไม่ในเย็นวันที่ฝนตกแบบฟ้าจะถล่มทลายเช่นนั้น หล่อนเดินกลับไปกลับมาในห้องนอนแคบๆ อย่างกระวนกระวาย สมองของหล่อนวนเวียนอยู่ด้วยความคิด “เอาเถอะ”หากว่าคุณพ่อหางานให้เราได้ พอมีเงินเดือนพอใช้สอยประทังชีวิตอยู่ได้เราก็จะเลิกอาชีพนี้เสียที เราเองก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอาชีพที่ใครๆก็รังเกียจแถมอาจจะติดเชื้อเอดส์เข้าอีกต่างหาก” แม้แต่อนงค์เองยังต้องแปลกใจกับความคิดแบบปัจจุบันทันด่วนของตนเอง “ถึงอย่างไรคุณพ่อก็ดีกับเรา ท่านอุตส่าห์สละเวลามีค่ามาสั่งสอนเราได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่มีเบื่อหน่ายหรือดูถูกดูแคลนเลยจะหาใครใจดีอย่างท่านคงจะไม่มี เย็นวันนี้แหละเราจะบอกข่าวดีให้ท่านชื่นใจ”

ภายนอกฝนเจ้ากรรมยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ดูเหมือนว่าธรรมชาติจะจงใจให้ค่ำคืนนี้เป็นคืนส่งท้ายอำลาชีวิตเก่าของอนงค์หญิงสาวเดินไปปิดจานเสียง ทันใดนั้น หล่อนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูถี่ๆ หลายครั้งราวกับจะแข่งกับเสียงพายุที่พัดอื้ออึง หล่อนเดินไปที่ประตูหน้าระเบียงและเปิดออกไป คุณพ่อเจตน์ยืนถือร่มอยู่หน้าประตูที่ดูจะคับแคบไปถนัดใจเมื่อมีร่างสูงใหญ่ของท่านขวางอยู่ ดวงตาสีดำโตของนักบวชแลดูล่วงลึกหว่าปกติ จนคล้ายกับว่ามันได้ฝังเข้าไปอยู่ในกะโหลก เสื้อคลุมสีดำยาวรุ่มร่ามที่คุณพ่อใส่อยู่ทุกวันนั้นเล่าก็เปียกโชกจนแนบร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อหนาแน่น อนงค์ยกมือไหว้สวัสดีและกล่าวเชิญให้ท่านเข้ามาในบังกะโล

เช้าวันรุ่งขึ้นพระอาทิตย์ทอแสงแจ่มใสน้ำฝนที่ติดอยู่ตามใบไม้ใบหญ้าต้องแสงแดดเป็นประกาย ดู เหมือนว่าฝนที่กระหน่ำลงมาเมื่อคืนนั้นเป็นแค่เพียงความฝัน ต้นไม้และกอหญ้าแลดูเขียวชอุ่มสดชื่นเมื่อรุ่งอรุณ พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงอันร้อนแรงขึ้นทุกที แม่ชีสามคนที่โรงพยาบาลต่างรู้สึกประหลาดใจที่คุณพ่อเจตน์ไม่ได้ลงมาทำพิธีมิสซาในตอนเช้าดังเช่นเคย แม่ชีคนหนึ่งเดินไปเคาะประตูห้องนอนของท่านแต่ไม่มีเสียงตอบ เธอจึงลองหมุนลูกบิดดู ปรากฏว่ามันไม่ได้ใส่กุญแจ เธอจึงเปิดประตูห้องเข้าไปเตียงนอนแคบๆของคุณพ่อยังมีสภาพเรียบร้อย ไม่ได้มีร่องรอยว่ามีคนนอนเลยตั้งแต่เมื่อคืนแม่ชีทั้งสามจึงหันหน้าเข้าปรึกษากัน ในที่สุดก็ตัดสินใจพากันไปที่บังกะโลของหญิงงามเมือง

อนงค์ยืนเท้าสะเอวพิงประตูห้อง หล่อนนุ่งกางเกงสีเนื้อฟิตเปรี๊ยะ ใส่เสื้อคว้านคอลึกจนเห็นถันที่อวบอัดทั้งคู่ชัดเจน รองเท้าส้นสูงปลายแหลมทำให้หล่อนดูสูงขึ้นกว่าเดิม หน้าของหล่อนพอกไว้หนาเตอะด้วยเครื่องสำอางราคาถูกปากสีแดงคาบบุหรี่พ่นควันโขมง เพลงลูกทุ่งจากจานเสียงแผดลั่นจนแสบแก้วหู พอแลเห็นแม่ชีทั้งสามเดินเข้ามาใกล้ อนงค์ก็ยืดตัวตรงเอานิ้วคีบบุหรี่ออกจากปาก แล้วเงยหน้าหัวเราะเสียงดังอย่างเยอะเย้ยไม่มีเหตุผล เมื่อแม่ชีถามถึงนักบวชหล่อนก็อ้างว่าไม่ได้เห็นตั้งแต่เมื่อคืน หล่อนจะไปรู้รึว่าคุณพ่อคนดีของแม่ชีหายไปไหน

ผลสุดท้ายแม่ชีต้องเดินคอตกกลับไปโรงพยาบาลเพื่อโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจว่าคุณพ่อเจตน์ได้หายตัวไป เธอทั้งสามได้อธิบายให้ตำรวจฟังว่าในระยะหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณพ่อได้ไปเทศนาสั่งสอนอนงค์ที่บังกะโลใกล้ๆทุกวัน ครั้งสุดท้ายเป็นเมื่อคืนนี้เอง ความพยายามของคุณพ่อดูจะได้ผลดีพอใช้ จนพวกเธอยินดีรับอนงค์เข้าทำงานเป็นคนช่วยในครัว แต่มาเช้านี้หล่อนดูแปลกไป หล่อนบอกว่าไม่รู้คุณพ่อหายไปไหน

กลุ่มตำรวจห้านาย อันมีนายตำรวจโทหนุ่มเป็นหัวหน้าเริ่มทยอยกำลังกันออกตามหานักบวช ในตอนสายวันเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็พบร่างที่ปราศจากชีวิตของคุณพ่อเจตน์ที่ริมป่าใกล้โรงพยาบาล ศพเต็มไปด้วยเลือดที่เริ่มจะแข็งตัว เมื่อพิจารณาศพอย่างถี่ถ้วน นายร้อยโทหนุ่มจึงเห็นว่าที่ลำคอของพระคุณเจ้ามีรอยแผลเหวอะหวะ มือขวาของท่านกำมีดโกนคมกริบเอาไว้แน่น เขาจึงสันนิษฐานว่า ท่านคงจะใช้มีดโกนอันเดียวกันปาดคอตนเอง แต่ทำไม?

นายร้อยตำรวจสั่งให้ลูกน้องจัดการกับศพ แล้วตนเองรีบรุดกลับไปที่บังกะโลของอนงค์เพื่อแจ้งให้หล่อนรู้ว่าคุณพ่อสิ้นชีวิตแล้ว นอกจากนั้นเขายังต้องการจะสอบปากคำของหล่อนอีกด้วย เพราะหล่อนเป็นคนสุดท้ายที่เห็นคุณพ่อเจตน์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เค้าต้องการรู้ว่าสภาพจิตใจของท่านในขณะนั้นเป็นอย่างไร หล่อนคงจะให้คำตอบแก่เขาได้

นายตำรวจเดินขึ้นบันไดบังกะโลช้าๆ เขาเห็นหน้าต่างห้องเปิดกว้าง แสดงว่าอนงค์ยังอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน เมื่อเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบกลับจากภายใน ชายหนุ่มจึงถือวิสาสะเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง

อนงค์นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวเดิม แสงพระอาทิตย์ในยามสายส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้ ลำแสงอันเจิดจ้าส่องให้เห็นฝุ่นที่ม้วนตัวอยู่ทั่วไปในห้องนอน พอเหลือบมาเห็นนายตำรวจเข้า หล่อนก็ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังจนชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว “ไอ้ชิบ…มึงเข้ามาทำไมในห้องนอนของกู?”

“ขอโทษทีเถอะเจ๊ะ ก็ผมจะมาหาเจ๊น่ะซี่เคาะประตูแล้วไม่มีใครเปิด ผมก็เลยเดินเข้ามา” นายตำรวจหนุ่มตอบอย่างละล่ำละลัก เพราะไม่คาดว่าจะได้รับการต้อนรับที่ฉุนเฉียวจากเจ้าของบ้านที่ใครๆ ก็รู้ว่าหญิงโสเภณี เขาลอบพิจารณาใบหน้าของอนงค์อย่างขลาดๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นดวงตาของหล่อนฉายแววแห่งความเยอะหยันอย่างไรพิกล ส่วนดวงหน้าของหล่อนนั้นเล่าก็แสดงความเกียจชังออกมาอย่างรุนแรงจนปิดไม่มิด

ได้ยินคำตอบของอนงค์ก็ทำเสียงขลุกขลักอยู่ในคอ แล้วก็ถ่มน้ำลายลงบนพื้นห้อง หล่อนตะโกนออกมาจนสุดเสียง “ไอ้เวรตะไล ออกไปให้พ้นห้องของกูเดี๋ยวนี้ ไอ้พวก ผู้ชายแบบมึงก็มาตะเภาเดียวกันทั้งนั้นแหละโว้ย ชะ ชะ มือถือสากปากถือศีล ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือจะเถียง ไอ้ห่….”

นายตำรวจหนุ่มต้องสะดุ้งเป็นคำรบสองเขาตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ เขาก็เข้าใจเรื่องได้อย่างทะลุปรุโปร่ง