ลีลาของชีวิต

บินจากเซี่ยงไฮ้ไปสิงคโปร์เพื่อจะเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสกับลูกสาวซึ่งไปเปิดร้านเล็กๆ ขายเครื่องประดับประเภทเงินอยู่ที่นั่น ให้ชื่อว่าร้าน “1012 silver whispers” แต่ปรากฏว่าพอไปพักได้คืนเดียวแกมีเรื่องด่วนที่จะต้องบินเข้ากรุงเทพฯ เพราะคุณพ่อของหวานใจเสียชีวิตด้วยเส้นเลือดในสมองแตก

แต่ก็ได้สัญญาว่าจะบินจากกรุงเทพฯไปพบที่ภูเก็ต อย่างน้อยจะได้ฉลองส่งท้ายต้อนรับปีใหม่ด้วยกัน พ่อกับแม่จึงต้องเก็บข้าวของลงกระเป๋าบินไปภูเก็ตก่อนกำหนด

น้องชาย ล้อว่ามาเที่ยวบ้านทีไรเกิดเรื่องใหญ่ทุกที จะต้องมีคนเจ็บคนตายเสียทุกครั้ง จนยาติพี่น้องหวาดผวากันไปทั่ว มานั่งนึกย้อนหลังดูก็รู้สึกจะเป็นจริง แต่คิดเข้าข้างตนเองว่าไม่ได้เป็นตัว “นำโชค (ร้าย)” แน่นอนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า

อย่างไรก็ดีการมาเที่ยวภูเก็ตในปี “อเมซิ่งไทยแลนด์” ปีนี้ ได้เห็นอะไรแปลกๆหลายอย่าง จนอดคิดไม่ได้ว่า การเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเข้ามากันมากมายจนไม่รู้ใครเป็นใครนั้น จะมีผลดีหรือผลเสียต่อประเทศหรือไม่ แต่ข้าน้อยมิบังอาจจะออกความเห็น ปล่อยให้คุณผู้อ่านตัดสินเอาเองก็แล้วกันนะคะ

ญาติสนิทคนหนึ่งมีบังกะโลหลายหลังริมหาดให้คนเช่า มีร้านอาการเล็กๆไว้บริการแขกด้วย มีร้านอาหารแห่งนี้เป็นชายหาดที่ยังคงสะอาดและเป็นธรรมชาติมากที่สุด หาดทรายขาว น้ำทะเลใสเป็นสีครามตัดกับสีฟ้าใสของท้องฟ้าฝรั่งที่หนีหนาวจากยุโรปมาพักกันจนบังกะโลทุกหลังเต็ม เพราะค่าเช่าถูกอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ค่าเงินบาทเหลือน้อยเต็มที

ไปภูเก็ตครั้งใดก็มักจะไปเล่นน้ำที่นี่เสมอ แต่มีเหตุทำให้ต้องรำคาญใจเสียทุกครั้ง เพราะมีฝรั่งนักท่องเที่ยวหลายคนได้ใช้ชายหาดแห่งนี้เป็นนิคม “เปลือยอก เปลือยร่าง” อาบแดด หากเป็นในยุโรปสภาพเช่นนี้อาจจะดูไม่ขัดตาแต่ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะเคารพ

ที่ชายหาดมีเด็กๆลูกชาวบ้านแถบนั้นมาป้วนเปี้ยนว่ายน้ำกันหลายคนเกิดเป็นตัวอย่างที่เลวทรามของเด็กพวกนี้จนอาจจะเห็นเรื่องบัดสีเป็นของธรรมดา ประเทศอิตาลีซึ่งเป็นประเทศในยุโรปแท้ๆ ยังมีกฎหมายห้ามการเปิดอกโชว์ถันอล่างฉ่าง จนถึงกับว่าพวกนิยมโชว์ถันโชว์ก้นหลายคนหลบเข้าไปทำบัดสีบัดเถลิงกันทางตอนใต้ของประเทศสวิส มีชาวบ้านแถบนั้นหลายคนรังเกียจ พากันประท้วงเอาก็หลายครั้ง

มีธุระต้องเข้าในเมืองเพื่อติดต่อเรื่องโทรศัพท์มือถือ แต่งตัวธรรมดาๆเดินเข้าไปในร้าน เห็นเจ้าของกำลังยุ่งอยู่กับลูกค้าคนหนึ่ง ตั้งใจจะนั่งรออยู่เฉยๆ จนกว่าเขาจะเสร็จธุระ รอได้สักครู่ ก็มีฝรั่งพุงพลุ้ยไว้หนวดที่ไม่รักษาให้สะอาดเดินแทรกเข้ามายืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่นั่งอยู่ จนก้มอ้วนๆเกือบจะชนถูกหน้า นอกจากจะมีกิริยาทรามแล้ว อีตาคนนี้ยังแต่งเนื้อแต่งตัวแบบที่หากไปประเทศสิงคโปร์ เจ้าของประเทศคงจะไม่ยินดีให้เข้าประเทศเป็นแน่

จับความได้ว่าธุระด้วยเรื่องโทรศัพท์เช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้รอเจ้าของร้านเช่นคนอื่นๆ พูดทะลุกลางปล้องขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครมาก่อนหรือไม่ ได้ยินสำเนียงก็รู้ว่าเป็นชาวออสเตรเลีย ต้องการมาชำระเงิน แต่บอกเจ้าของร้านว่าจะเอาสัญญาและใบเสร็จก่อนแล้วจึงจะให้เงิน เจ้าของร้านก็ดีใจหาย กุลีกุจอรีบจัดการให้ทันที

พอได้รับเอกสารซึ่งเป็นกระดาษสองแผ่นเป็นภาษาไทย เขาก็ถามว่ากระดาษนี้สำคัญไหม เจ้าของร้านตอบว่าสำคัญ เจ้าฝรั่งนี่ก็พูดทำนองบ่นว่า ถ้าสำคัญทำไมจึงไม่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ เขาอยู่ประเทศไทยมาถึงสิบสามปีแล้ว เจ้าของร้านก็บอกว่าจะแปลให้ ให้เขาเขียนคำแปลกำกับลงไปในข้อความที่สำคัญ

พอเสร็จธุระเจ้าหมอนี่ยังบ่นสืบไปว่าน่าจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เจ้าของร้านก็เงียบด้วยความเกรงใจ มาบ่นในตอนหลังว่า ฝรั่งหลายคนเวลาเข้ามาในร้านแสดงท่าทางยโสแบบนี้ แต่ต้องทนเพราะเป็นเจ้าของร้าน จำเป็นต้องให้บริการแก่ลูกค้า หากไปมีปากมีเสียงก็อาจจะเสียลูกค้าไป

นั่งฟังอยู่นานแล้วเกิดอาการ “ทนไม่ได้” ติดหมัดขึ้นมา เพราะฝรั่งคนนี้กำแหงเกินไปเสียแล้ว ที่นี่เป็นประเทศไทย ไม่ใช่เมืองขึ้นของใคร แม้ว่าจะกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนักในทางเศรษฐกิจ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยได้ขายวิญญาณให้ต่างชาติไปเสียแล้ว เลยพูดกับเขาว่า “ได้ยินเมื่อสักครู่ว่า คุณเคยอยู่เมืองไทยมาแล้วสิบสามปีใช่ไหม”

เขาค่อยๆย้ายก้นออกห่าง แล้วหันหน้ามามองอย่างแปลกใจพร้อมๆกันกับเจ้าของร้านที่จ้องคนพูดเป็นตาเดียวคงจะไม่คิดว่าหญิง “งอม” แต่ยังสวยตัวดำๆ (เพราะตีกอล์ฟทุกวัน) แต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดาๆแบบใช้ของไทย เที่ยวเมืองไทย นั่งเงียบๆแบบเจียมเนื้อเจียมตัวผู้นี้ จะพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยสำเนียงเช่นนี้

เจ้าออสซี่ตอบด้วยความภูมิใจว่า “ใช่แล้ว อยู่มาสิบสามปี” ฉันเลยพูดยิ้มๆเลือดเฉือนว่า “ก็แปลกดีนะคุณอยู่เมืองไทยมาถึงสิบสามปี แต่ยังไม่รู้ภาษาไทย” เขาตอบว่า “ไม่ได้บอกว่าไม่รู้ภาษาไทย แต่บอกว่าพูดได้แต่เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก” ฉันได้ทีขี่แพะไล่ ยิ้มยวนอีกครั้งก่อนบ่นดังๆว่า “น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ – amazing, amazing”

โชคดีที่เขาไม่พยายามต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป คงไม่แน่ใจว่าจะโดนอะไรเข้าอีก เลยขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากร้านไปดื้อๆ

คุณผู้อ่านคงจะสงสัยว่าฉันไปเดือดร้อนอะไรด้วย กับการที่ฝรั่งคนหนึ่งไม่รู้ภาษาไทย ขอตอบว่าคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานๆจะในฐานะไหนก็ตาม ขึ้นชื่อได้ว่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มาหาความสุขสบายในประเทศนี้ หากไม่พอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ก็คงจะออกจากประเทศไปเสียนานแล้ว ฉันจึงเดาว่าเขาคงจะอยู่ในประเทศไทยไปจนตาย เพราะฉะนั้นสมควรอย่างยิ่งที่เขาควรจะเรียนรู้ภาษาไทยพอสมควร

ฉันจะยกประโยชน์ให้จำเลยหากว่าเขาพูดได้พอเข้าใจ แต่เขียนและอ่านไม่ได้ดี เพราะการเรียนอ่านและเขียนภาษาไทยไม่ใช่ของง่าย แต่การที่ฝรั่งคนนี้มาเรียกร้องให้เจ้าของประเทศเขียนเอกสารเป็นภาษาอังกฤษนี่สิคะ กระเทือนซางของผู้เขียนเข้าอย่างแรง หากคนไทยเข้าไปอยู่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลาถึงสิบสามปีแล้วยังเขียนและอ่านภาษาของเขาไม่ได้ดูทีหรือว่าเจ้าของประเทศจะดูถูกเอาขนาดไหน

ฉันถือกฎข้อหนึ่งไว้อย่างเคร่งครัดเสมอมาคือ พยายามเรียนภาษาของเจ้าของประเทศที่เข้าไปอยู่ แรกๆอาจจะพูดถูกบ้างพูดผิดบ้างก็ไม่มีใครถือสาเพราะอย่างน้อยเจ้าของประเทศย่อมยินดีและพอใจที่เราพยายามเรียนภาษาของเขา

ที่เซี่ยงไฮ้ ชาวอเมริกันที่ฉันรู้จักเรียนภาษาจีนกลางกันแทบทุกคนบางคนเรียนได้เร็ว บางคนเรียนได้ช้าแต่เขาก็พยายามพูด โดยมากมักจะฝึกกับคนขับรถแท็กซี่ พวกเขารู้จักคำว่า “เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ขับไปข้างหน้า ถอยไปข้างหลัง อย่าขับเร็วนัก ช้าๆหน่อยสิ” ดีกว่าฉันมากมาย เพราะฉันมักจะไม่ใช้รถแท็กซี่ถ้าไม่จำเป็นจริง

หากไปไหนกับเพื่อนๆ และโชเฟ่อร์ติดธุระต้องขับรถให้นายผู้ชายฉันก็จะไปแท็กซี่กับเขาด้วย และมักจะแต่งตัวดีเพราะความเคยชิน จนเพื่อนๆล้อ ด้วยมักจะลืมไปว่า แท็กซี่ในเมืองจีนนั้นนอกจากจะเหม็นควันบุหรี่อย่างแรงแล้ว ยังสกปรกอีกต่างหากแถมที่นั่งผู้โดยสารก็แสนจะคับแคบ

ที่เห็นว่าแปลกที่สุดไม่เคยเห็นในประเทศใดเลยในโลกก็คือ เบาะที่นั่งคนขับมีคอกพลาสติกแท่งใหญ่ล้อมรอบ เหลือช่องไว้เล็กนิดเดียวพอให้ผู้โดยสารยื่นมือเข้าไปจ่ายสตางค์ค่าแท็กซี่เท่านั้น

เคยถามคนจีนว่าทำไมจึงต้องมีคอกแบบนี้ด้วย เขาก็บอกว่าเพื่อป้องกันอาชญากรรม หากมีผู้ร้ายคิดจะปล้นแท็กซี่โดยใช้มีดจี้ คนขับจะได้มีที่กำบัง ว่าไปแล้วมีเอาไว้ก็เกะกะเปล่าๆหาประโยชน์ไม่ได้ เพราะเผื่อมีโจรปล้นขึ้นจริงๆ คอกแค่นั้นจะไปช่วยอะไรได้

นานครั้งจึงจะโชคดีพบแท็กซี่สะอาดๆเสียสักหนึ่งคัน โดยมากนักเป็นแถวหน้าโรงแรมห้าดาว เมื่อขึ้นรถแบบนี้ฉันมักชมโชเฟ่อร์ว่ารักษารถได้สะอาดดี เพื่อให้เขามีกำลังใจ เห็นแท็กซี่ที่สิงคโปร์แล้วยังนึกชม เพราะสะอาดเอี่ยมพอๆกับแท็กซี่ในสวิสแถมยังมีกลิ่นหอมของใบเตยที่คนขับวางไว้ข้างหลังรถอีกด้วย เบาะนั่งก็เป็นเงางามด้วยขัดเช็ดอยู่เสมอ จึงไม่รู้สึกขยะแขยงที่จะนั่งลง เสียอย่างเดียวแท็กซี่ที่สิงคโปร์หานากหาเย็นเสียจริงๆในตอนดึกๆ ต้องโทรศัพท์เรียกมาจึงจะสะดวกขึ้น

ส่วนโชเฟ่อร์ของเราที่เซี่ยงไฮ้ได้เสมอให้หุ้มเบาะที่นั่งเป็นสีขาวจะได้ดูสะอาด นายผู้ชายก็ยินยอมโดยมีข้อแม้ว่า ถ้ามีผ้าสีขาวหุ้มก็ขอให้เป็นสีขาวจริงๆ ไม่ใช่สีขาวอมเทาส่วนการสูญบุหรี่ในรถนั้นห้ามเด็ดขาด

เวลาไปไหนกับคนรถของเราก็ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะเขาเป็นคนเซี่ยงไฮ้ จึงรู้จักเซี่ยงไฮ้ทุกซอกทุกมุมเลยทำให้ฉันซึ่งเป็นคนที่โดยปกติก็ไม่เอาไหนอยู่แล้วในเรื่องถนนหนทางยิ่งแย่เข้าไปอีก เมเบิ้ลเพื่อนชาวอเมริกันถึงกับบ่นซึ่งๆหน้าเอาในวันหนึ่งว่า “เธอก็แสนจะฉลาดในแทบจะทุกเรื่อง ทำไมจึงไม่รู้จักทาง” ตอบไปว่า “หากรู้ทุกอย่างแล้ว จะมีหน้าที่อะไรเหลือให้เธอทำอีกล่ะ” เขาก็เลยเงียบไป

ในกระบวนเพื่อนชาวอเมริกันมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมเรียนภาษาจีนเคย์เป็นผู้หญิงที่ใครๆเห็นว่าแปลก “weird” แม้แต่เพื่อนชาวอเมริกันด้วยกันเอง นิสัยโดยทั่วไปของคนอเมริกันที่มีการศึกษามักจะไม่ใช่คนช่างนินทาด้วยเกรงว่าหากพูดถึงคนอื่นในแง่ร้ายแล้ว คนที่ตนเองพูดด้วยอาจจะระแวงว่า ลับหลังเขา คนพูดอาจจะนินทาเขาเช่นกัน

อย่างไรก็ดีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า หากเคย์จะแต่งตัวให้เรียบร้อยกว่านี้สักเล็กน้อย เธอก็จะเป็นหญิงที่น่าดูพอสมควร แต่เคย์มักจะปล่อยเนื้อปล่อยตัว แบบหน้าไม่ผัด ผมไม่หวีและเสื้อผ้าก็ไปคนละทาง

ตอนมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ใหม่ๆ เคย์มี “culture shock” ตกใจในวัฒนธรรมของจีน เพราะไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศเลย เธอไม่ยอมรับอะไรๆที่เป็นจีนเกลียดคนจีน มีอคติกับคนจีน มักจะทำให้ผู้สนทนารู้สึกเสมอว่า ไม่มีประเทศใดยิ่งใหญ่เกินสหรัฐฯ

โจนาธานครูสอนภาษาจีนเล่าว่าเคย์เคยให้ไปสอนภาษาจีนสองครั้งแล้วก็เลิก โดยให้เหตุผลว่าต้องการรู้ภาษาจีนเพียงเพื่อพูดกับคนขับแท็กซี่ได้เท่านั้น ฉันพบกับเคย์หลายครั้ง แต่มักจะเป็นกลุ่มหลายคน ไม่มีโอกาสคุยกันเป็นส่วนตัวสองต่อสองเลย

จนกระทั่งวันหนึ่งเรามีโอกาสได้คุยกันตามลำพัง เคย์ทำให้ฉันประหลาดใจ เพราะเธอพูดว่าไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องเรียนรู้ภาษาจีนไปไหนใช้ภาษาอังกฤษทุกคนก็เข้าใจ

พวกเราที่เซี่ยงไฮ้รู้กันอยู่เต็มอกว่า มีคนจีนไม่กี่คนนักที่พูดอังกฤษพอสนทนากันได้รู้เรื่อง แม้แต่ตามถนนหนทางก็ยากนักหนาที่จะมีคนพูดอังกฤษเป็นภาษาสากล คนที่ติดต่อกับนานาประเทศควรจะรู้ภาษาอังกฤษดี แต่เมื่อเรามาอยู่เมืองจีนเธอไม่นึกอยากจะเรียนภาษาที่เจ้าของประเทศพูดบ้างหรือ ไม่ต้องพูดให้ถึงกับเก่ง พอพูดให้ชาวเมืองเข้าใจได้ก็พอการเรียนภาษาจีนเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และสนุกอีกต่างหาก

เคย์เคยบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าชีวิตของเธอที่เมืองจีนว่างเปล่า ไม่มีอะไรประเทืองสติปัญญา เพียงแต่ใช้ชีวิตไปวันหนึ่งๆ แต่เคย์ก็ยังคงยืนกรานว่าไม่ต้องการเรียนภาษาอื่น แถมยังปฏิเสธที่จะยกย่องคนที่พูดได้หลายภาษา กลับหาว่าคนเหล่านั้นจำเป็นต้องเรียนหลายภาษาเพราะไม่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ฉันฟังแล้วก็อ่อนใจ เพราะรู้ว่าเธอพูดกระทบชาวยุโรปเช่นชาวสวิสและชาวฮอลแลนด์เป็นต้น

เพื่อนชาวไอริชคนหนึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้ชาวจีน ถึงกำหนดไปโฮมลิฟที่ไอร์แลนด์ ขอให้เคย์ช่วยสอนแทน ทั้งๆที่เคย์ไม่เคยสอนหนังสือมาก่อนเลย แถมยังไม่รู้ภาษาจีนอีกต่างหาก เธอเลยมาขอยืมตำราสอนภาษาอังกฤษที่ฉันขนเอามาจากสวิสหลายเล่มพร้อมเทปสำหรับฟัง ฉันเลยอธิบายหลักการสอนภาษาอังกฤษของฉันให้ฟัง บอกว่าเราเน้นในเรื่องการฟัง การพูด การอ่าน (ให้เข้าใจ)

เคย์บอกว่าจะเอาตำราไปถ่ายเอกสารแจกนักศึกษา ฉันบอกเธอไปว่า เอาไปศึกษาดูได้ แต่อย่าถ่ายเอกสารแจก เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนลิขสิทธิ์ เธอก็บอกว่าจะเอาไปดูเป็นตัวอย่าง แล้วจะดัดแปลงใหม่ ทำเป็นเอกสารแจกลูกศิษย์ จะใช้เวลาเพียงวันเดียว

คุณผู้อ่านเชื่อไหมคะว่ากว่าฉันจะได้รับตำราทั้งหมดกลับคืนมาก็เป็นเวลาห้าอาทิตย์เต็มๆหลังจากที่ได้ทวงอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ไปใกล้ชิดด้วย เพราะรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ยูนีค “unique” ไม่เหมือนใคร คนอย่างเคย์เป็นคนที่ควรจะอยู่ในประเทศให้เป็นที่ระคายเคืองเจ้าของบ้าน

มีญาติอยู่มากมายที่ภูเก็ต วันหนึ่งน้าชายโทรศัพท์มาชวนให้ไปกินข้าวกลางวันที่บ้านพักรับรองที่ตั้งอยู่ริมทะเลไม่ห่างจากสะพานสารสินมากนัก เราเรียกกันว่า เกาะแรด ความจริงไม่ใช่เกาะ แต่เป็นแหลมที่ยื่นออกไปจากแผ่นดินใหญ่

น้าชายเป็นคนใจคอกว้างขวางคบคนตั้งแต่บิ๊กสุดๆไปจนถึงเล็กสุดๆ ไม่ถือเขาถือเรา บังเอิญวันนั้นเป็นวันทำงาน เลยไม่มีแขกอื่นมาจากฉันกับลูกสาวและแขกผู้หญิงอีกสองคน

บนโต๊ะที่ตั้งไว้ที่ระเบียงมีอาหารทะเลเพียบ นอกจากกิจการอื่นๆมากหลายแล้ว น้ายังมีฟาร์มกุ้ง ฯลฯ จึงมักจะมีอาหารทะเลกินเหลือเฟือสำหรับน้า กุ้งมังกรหรือว่าปลาและกุ้งปุสดๆ เป็นของธรรมดาที่สุด

พอไปถึงน้าก็แนะนำให้รู้จักหญิงทั้งสอง บอกว่า “แฟน” ของคนหนึ่งเป็นชาวสวิสเช่นเดียวกัน ถามไปว่าสามีมาจากแห่งไหนของสวิส เจ้าหล่อนบอกว่ามาจากเจนีวา เลยถามว่าอยู่เจนีวามานานกี่ปีแล้วและชอบไหม

คำตอบของหล่อนทำให้ประหลาดใจ เพราะเจ้าหล่อนบอกว่าไม่เคยเหยียบย่างไปสวิสเลยแม้สักครั้งตามวิสัยคนช่างพูดช่างเล่า อันอาจจะเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของคนที่เคยเป็นเจ้าของร้านอาหารแถบป่าตอง จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดให้คุณผู้อ่านฟัง และเจ้าตัวก็ไม่ขัดข้อง

ฉะอ้อนมีอายุสี่สิบกว่า มีลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเกิดจากสามีเก่าที่เป็นไทยมุสลิมแล้วเลิกกัน ปล่อยให้เจ้าหล่อนหาเลี้ยงลูกตามลำพัง ก่อนหน้าที่จะพบ “แฟน” ชาวสวิส ฉอ้อนมีร้านขายอาหารอยู่ที่หาดป่าตอง

ด้วยเหตุที่มีหน้าตาและรูปร่างในแบบที่ฝรั่งส่วนใหญ่ชอบคือ ผิวดำ ตาดำ นิสัยรื่นเริง พูดหยอกเย้าได้เพราะเขามักจะไม่เข้าใจว่าบางครั้งการล้อเล่นแบบทีเล่นทีจริงนั้นเป็นการดูถูกกลายๆ หญิงชาวปักษ์ใต้ผู้นี้จึงมีฝรั่งนักท่องเที่ยวมาจีบหลายคน มีทั้งแคนาเดียน เยอรมัน และสวีดิช แต่ในที่สุดก็ลงเอยกับชาวสวิสคนที่จะเล่าถึง

ฌองมาเที่ยวภูเก็ตครั้งแรกเมื่อประมาณสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นเขามีอายุได้ห้าสิบสามปี ไปกินาอาหารในร้านแล้วก็เกิดติดเนื้อพึงใจในตัวฉะอ้อนชวนให้ไปเที่ยวด้วยกันเสนอว่าจะซื้อที่ปลูกบ้านให้ หากเจ้าหล่อนจะยินยอมเป็น “เมีย” เขาบอกว่าเขามีเมียตามกฎหมายอยู่แล้วที่เจนีวา แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ฉะอ้อนก็ยินยอม ฌองจะมาเที่ยวภูเก็ตปีละครั้งสองครั้ง พักอยู่คราวละสามสี่เดือน

ที่ฉันเห็นว่าแปลกจนเหลือเชื่อก็คือ เมียหลวงที่สวิสรู้เรื่องดีและยินยอมให้สามีมาหาเมียน้อยที่เมืองไทยได้ ฉะอ้อนบอกว่าบางครั้งเมียหลวงก็โทรศัพท์มาหา ฉันอยากรู้ว่าเขาพูดภาษาอะไรกัน เจ้าหล่อนบอกว่าแรกๆก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ต้องมีล่าม ต่อไปเจ้าหล่อนไปเรียนภาษาอังกฤษจนพอพูดได้งูๆปลาๆ ส่วนฌองนั้นก็ไปเรียนทั้งอังกฤษและไทยพร้อมๆกันจนพูดไทยได้บ้าง

ตอนทีฉันพบฉอ้อน เจ้าหล่อนบอกว่าฌองกำหนดจะมาเยี่ยมในราวเดือนกุมภาพันธ์ และจะพักอยู่ในราวสี่เดือน ฟังแล้วก็งงไปหมดว่าเมียหลวงชาวสวิสยอมได้อย่างไรและเมื่อก่อนนี้ฌองต้องทำงาน เขาเอาเวลาที่ไหนมาอยู่เมืองไทยนานๆสำหรับปัจจุบันเขาอาจจะเกษียณแล้วก็ได้ เพราะผู้ชายสวิสปลดเกษียณตอนอายุหกสิบห้า แต่ในปัจจุบันเศรษฐกิจของสวิสไม่ดีเช่นในสมัยก่อน การปลดเกษียณในราวหกสิบหรือหกสิบสองเป็นเรื่องธรรมดา

เพื่อนชางอเมริกันที่เคยไปเที่ยวภูเก็ตและเกาะสมุยถามว่า ทำไมจึงมีชาวสวิสอยู่ที่นั่นกันมาก คำตอบที่ฉันเห็นว่าไม่เกินความจริงก็คือ “เขาไม่อาจจะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในประเทศสวิสได้ ทนความกดดันของสังคมไม่ไหวจึงหนีมาเมืองไทย” ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถอยู่ได้สบายๆในชนบท แต่งงานกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ก็มีสิทธิ์อยู่เมืองไทยได้ตลอดไป แถมยังมีชาวบ้านยกย่องเพราะเขาเกิดมาเป็นคนผิวขาว ทำอะไรชาวบ้านก็ไม่เห็นน่าเกลียด

เคยคิดเล่นๆว่า หากวอลเตอร์เกิดอยากมีชีวิตสบายๆเช่นนี้บ้าง เลิกทำงาน มาอยู่ภูเก็ตนั่งทอดหุ่ยไปวันๆญาติพี่น้องของฉันคงจะดูถูกเขาจนทนอยู่ไม่ได้ทีเดียว เว้นไว้แต่ว่าจะหน้าด้านจริงๆ ไม่แคร์ว่าใครจะเหยียบหยามเช่นไร

หากปลดเกษียณแล้วตัดสินใจมาอยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และน่าจะเป็นที่ยินดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย