เมื่อฉันไปรำดาบ

เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองท่าที่แออัด มีประชาชนอาศัยอยู่ถึงสิบสามล้านเท่าที่รู้ที่ไม่รู้ยังมีอีกเท่าไรไม่มีใครบอกได้ ตั้งแต่ท่านตึ้งเฉ่าผิง เจ้าของปรัชญา “ความร่ำรวยเป็นสิ่งประเสริฐ” (to be rich glorious) ที่ถึงแก่กรรมไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ได้เปิดประตูให้ประเทศจีนมีการติดต่อค้าขายกับโลกภายนอกเป็นครั้งแรกที่เมืองกวางตุ้ง หรือที่ฝรั่งรู้จักกันในนาม “แคนตอน” เมื่อหลายปีมาแล้วนั้นผู้คนจากท้องถิ่นที่กันดารต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามายังเมืองใหญ่เช่นเซี่ยงไฮ้มากมาย ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า

การค้าขายเริ่มขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ระบบการทำงานเพื่อรัฐเริ่มจะหมดไป ทุกคนต่างก็ทำงานเพื่อหาเงิน มีรายได้เพื่อตนเองและครอบครัว ครั้งแรกความหวังของเขาก็เพื่อจะสามารถซื้อจักรยานสักคันหนึ่ง แล้วก็ซื้อจักรเย็บผ้าให้เมียความต้องการเริ่มมีมากขึ้น ในที่สุดก็มีความ “จำเป็น” ที่จะต้องมีทีวี ตู้เย็นจนกระทั่งเปียโน

จำได้ว่าเมื่อสี่ปีก่อนฉันไปเที่ยวกรุงปักกิ่งเป็นครั้งแรก ไกด์เชิญไปเที่ยวบ้านเขาในเย็นวันหนึ่ง ตลอดเวลาสี่วันที่เขาดูแลเรา เขาเล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่า เขามีแฟลตของตนเอง ความจริงแฟลตนี้เป็นแฟลตที่เคยเป็นของพ่อเขาซึ่งเป็นนายธนาคารมาก่อน เมื่อพ่อตายแม่ก็ยังมีสิทธิอาศัยอยู่ได้ต่อไป ในฐานะที่เป็นลูกชายคนเดียว แม่จึงขอให้เขาและครอบครัวมาอยู่ด้วย เขามีลูกชายอายุสิบขวบหนึ่งคน

เรา (ฉันและเพื่อนชาวแคนาดาอีกสองคน) ได้รับการต้อนรับดีมาก พอไปถึงแม่และเมียออกมาต้อนรับ เชิญให้เราเข้าไปนั่งในห้องรับแขก บนโต๊ะมีทั้งแตงโมและลูกท้อที่เตรียมจัดไว้ต้อนรับ ภายในห้องนอกจากจะมีทีวีขาวดำแล้ว ยังมีเปียโนอีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ เขาอวดว่าซื้อเอาไว้ให้ลูกชายได้เรียน

แฟลตหลังนี้มีอยู่เพียงสองห้องมีระเบียงเล็กๆยื่นออกไปจากห้องรับแขกบนระเบียงรกรุงรังด้วยผ้าขี้ริ้วที่แขวนอยู่เต็ม และข้าวของผุๆพังๆที่เขาไม่ยอมทิ้ง ห้องน้ำเล็กๆที่เปิดไว้ส้วมแบบตะวันตก แต่กำลังจะพังมิพังแหล่ ส่วนที่เป็นครัวมีเตาแก๊สเก่าสกปรกและหม้อไหถ้วยชามที่ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพวางอยู่ ตอนลงจากรถจะเข้าไปในแฟลตกลิ่นของขยะโชยมาเข้าจมูกอย่างรุนแรงยิ่งเมื่อเข้าไปในลิฟต์เก่าๆที่มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ด้วยแล้ว เราแทบจะอาเจียน เพราะกลิ่นปัสสาวะอันน่าขยะแขยง

คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าฉันดูถูกเขา เปล่าเลย ฉันรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำไปที่เขาเชิญเราไปถึงบ้านช่อง ที่เล่าเรื่องนี้ก็เพื่อจะคุยถึงทฤษฎี “ความร่ำรวยเป็นสิ่งประเสริฐ” ของท่านตึ้งเฉ่าผิงให้ฟัง ไม่ใช่ความผิดของเขาที่มีความภาคภูมิใจในสิ่งที่เขามี เขาไม่เคยได้ออกไปเห็นหรือติดต่อกับโลกภายนอกเขาจึงไม่มีโอกาสเปรียบเทียบ และไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นเช่นใด เขาจึงเชื่อว่าสิ่งที่เขามีนั้นดีที่สุดแล้ว

การเปิดประตูไปค้าขายกับต่างประเทศ ทำให้ประเทศจีนเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ชาวจีนที่ฉันได้พบยังมีปมด้อยที่คิดว่าตนเองจน (ด้วยสมบัติและเงิน) เทียบไม่ได้กับชาวต่าง (ไหวกั๋วเหยิน) โดยเฉพาะฝรั่ง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงนับถือยกย่องคนที่มีเงินว่าดีกว่าตนเอง อาจจะเป็นปรัชญาของท่านตึ้งเฉาผิงก็ได้ที่ทำให้มีความฝังใจเช่นนี้

เคยไปเดินเล่นที่ปาร์คใหญ่แห่งหนึ่งในตัวเมือง ไม่น่าเชื่อว่าเมืองที่แออัดเช่นเซี่ยงไฮ้จะปาร์คใหญ่ๆอยู่ใจกลางเมืองหลายแห่ง มีต้นไม้สูงใหญ่ร่มครึ้ม ให้ความร่มรื่นแก่ชาวเมืองที่มานั่งพักผ่อน พวกเขาหาความสุขกันได้ง่ายๆ

กำลังเดินอยู่เพลินๆก็ได้ยินเสียงดนตรีและเสียงร้องเพลง เดินไปตามเสียงที่มาก็ได้เห็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลากำลังสีซอ มีหญิงคนหนึ่งกำลังร้องเพลงออกท่าออกทาง พอคนนี้ร้องเสร็จ อีกคนก็ออกมาร้องแทน

แม้แต่ในประเทศสวิสเองก็ไม่มีปาร์คแบบนี้ อาจจะเป็นได้ว่าประเทศสวิสเองเป็นปาร์คอยู่แล้วในตัวเองด้วยภูเขา ทะเลสาบ และทุ่งหญ้าความที่ต้องอยู่กันอย่างยัดเยียด ชาวจีนจึงต้องออกจากบ้านมาหาอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า บ้านเรือนของเขาเล็กๆแคบๆไม่มีที่ทางให้ออกกำลังกาย อย่าว่าแต่จะรำดาบหรือเต้นรำเลย

เมื่อได้ตัดสินใจที่จะลงไปร่วมรำดาบกับเขาแล้ว ฉันก็แต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยกางเกงยีนส์เนื้อหนา ใสเสื้อหนาวตัวโคร่งกับเสื้อโค้ต สวมรองเท้าเทนนิสยี่ห้อดัง ปรากฏว่าเชยสิ้นดีเพราะเวลาไปเรียนรำดาบ ไม่มีใครเขาแต่งตัวกันแบบนี้เลยสักคน

กำลังจะเดินเข้าประตูปาร์คเจ้าหน้าที่หญิงที่นั่งเฝ้าอยู่ในป้อมบอกให้หยุดจ่ายเงินค่าผ่านประตูเสียก่อนเป็นเงินห้าเจา (Jiao) ซึ่งมีค่าเท่ากับหกสลึง มองไปทางด้านซ้ายเห็นชายจีนแก่ๆหลายสิบคนกำลังยืนอยู่ข้างกรงนกที่ต่างคนก็แขวนเอาไว้บนกิ่งไม้ ฟังเสียงนกร้องเซ็งแซ่ที่อยู่ในกรงนั้น ฉันหยุดมองอยู่สักครู่ก็เดินเลยไป เหลียวดูรอบตัว เห็นชาวจีนทั้งหญิงและชายต่างรำมวยกันอยู่อย่างขะมักเขม้น ไม่สนใจใคร บางคนรำอยู่คนเดียว บางคนเดินถอยหลังไปตามถนน ไม่รู้ว่าเดินได้ยังไงโดยไม่ชนอะไร บางคนยืนเอาหัวโขกกับต้นไม้โดยไม่กลัวเจ็บ บ้างก็เดินแกว่งแขนไปมา บ้างก็งัดเอาดาบออกมารำ

มีกลุ่มหนึ่งที่กำลังซ้อมเต้นรำบอลรูมโดยไม่มีดนตรี บางกลุ่มนั่งขัดสมาธิล้อมวงทำวิปัสสนา ทุกคนทำทุกอย่างในปาร์คนี้โดยไม่มีการเหนียมอาย ชาวสวิสจะมองฉันด้วยสายตาประหลาดเช่นไร หากว่าฉันเกิดอุตริเดินถอยหลังบนถนนหน้าบ้านของตนเอง

เดินไปเดินมาในปาร์คอยู่หลายนาที ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาหญิงจีนกลุ่มหนึ่งที่ฉันคิดในตอนนั้นว่ากำลังรำมวยอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ยังไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาแมนดารินอย่างเป็นทางการ เพียงแต่อาศัยเรียนจากหนังสือง่ายๆที่มีอยู่ ก็เลยใช้ภาษามือและกายถามว่าจะร่วมวงด้วยได้ไหม หญิงจีนผู้หนึ่งมารู้ภายหลังว่าชื่อเฉินเชี้ยวอิ้ง และต่อมาเมื่อรู้จักกันแล้วฉันเรียกเขาว่า “เจี๋ยเฉิน” แปลว่าพี่เฉินเจี๋ยเฉินบอกให้ไปขออนุญาตครูเสียก่อน

ด้วยภาษาแมนดารินกระท่อนกระแท่น ฉันเดินเข้าไปสวัสดี “หนีห่าว” และขออนุญาตเรียนด้วย “หวังเหลาชื้อ” หรือครูหวังพยักหน้าเรื่อยๆ ไม่ยินดีหรือยินร้าย ด้วยไม่แน่ใจว่า “ไหวกั๋วเหยิน” คนนี้จะมาเรียนจริงๆหรือเล่นๆหรืออาจจะมาเป็นสปายก็ได้ ใครจะรู้ส่วนเพื่อนนักรำดาบคนอื่นๆก็ยิ้มๆไม่แสดงออกว่าชอบหรือไม่ชอบ

ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไปทุกวัน จนทุกคนรู้จักหน้าค่าตา เขาถามว่าฉันมาจากไหน ตอบเขาไปว่า “หวัวชื่อรุ่ยซี่ดั้นชื่อหวัวเชี้ยงไซ่ไท้กั๋ว” ฉันเป็นคนสวิสแต่เกิดในประเทศไทย พอสนิทกันขึ้นอีกหน่อยก็ถามว่าอายุเท่าไร “หนีจี่ซุ่ย” พอบอกอายุไป เขาตกใจ ไม่เชื่อ พร้อมกับเอามือมาบีบแขนบีบขาซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อ เขาบอกว่าแข็งแรงเพราะอยู่ดีกินดี ความจริงคำว่าอยู่ดีกินดีที่เขาพูดนี้ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจแต่จดเอาไว้ไปถามครู เวลาไปไหนมาไหนฉันมักจะมีสมุดเล็กๆเล่มหนึ่งจดศัพท์แสงที่ไม่เข้าใจเอาไว้ถามครูด้วยวิธีนี้ไม่กี่สัปดาห์ฉันก็ได้เรียนรู้คำใหม่ๆมากมาย ปัญหามีอยู่ว่าฉันเรียนภาษาแมนดารินซึ่งเป็นภาษากลางเวลาพูดอะไรคนเซี่ยงไฮ้ก็เข้าใจ แต่เวลาเขาพูดมาฉันมักจะมีปัญหา เพราะเขาพูดภาษาถิ่น

ฉันจ่ายค่าเรียนรำดาบไปเพียงเล็กน้อย จนทำให้รู้สึกว่าตัวเองเปรียบพวกเขามากมาย จึงเมื่อมีโอกาสเมื่อไรก็พยายามหาของขวัญเล็กๆน้อยๆไปฝากครูและเพื่อนที่รำดาบอยู่ด้วยกันเสมอฉันมารู้ภายหลังว่ารำดาบที่ฉันเรียนนั้นเขาเรียกว่า “มู่หลานฉวน” มีทั้งหมดด้วยกันหกท่า ใช้เวลาเรียนในราวหกเดือนหากว่าใครจะกลับมาเรียนซึ้งอีกก็ได้ แต่คิดว่าต้องจ่ายเงินให้ครูอีกเป็นค่าสอนท่าต่างๆที่ว่านี้มีทั้งการรำมือเปล่า ท่ารำพัดเล่มเดียวและสองเล่ม มีรำดาบ ฯลฯ ฉันได้เพื่อนที่ดีมาอีกสองคน ชื่อ “เจี๋ยต้าย” และ “เจี๋ยหวู” พี่ต้ายและพี่หวูดีกับฉันมาก มีท่าไหนที่ฉันรำไม่ถนัดเธอก็สอนให้แล้วสอนให้อีก โดยเฉพาะท่ารำดาบ ไม่เคยแสดงท่าทีว่าเบื่อหน่ายเลย จนฉันเกรงใจ

ครูหวังเองก็ตั้งใจสอนฉันอย่างเต็มที่ เพราะรู้ว่าฉันเป็นชาวต่างชาติไม่คุ้นเคยกับประเพณีของพวกเขา แต่มีความสนใจใคร่รู้และตั้งใจเรียน ทว่าความที่แก่ (น้อย) ความจำจึงไม่สู้จะดีเท่าไร ได้หน้าลืมหลังอยู่เสมอ แถมบางทีก็หายไปเป็นอาทิตย์ๆ เพราะเดินทางอยู่บ่อยๆ ฉันก็เลยให้เงินค่าสอนเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องการจะอวดร่ำอวดรวย แต่ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจที่เขามีต่อฉัน

นอกจากนั้นฉันยังปฏิญาณแก่ตนเองว่า จะไม่ใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาด้วยราคาถูกนี้ไปสอนคนอื่นต่อเพื่อหวังเงินหรือสิ่งของเป็นการตอบแทนมีชาวสวิสนักท่องเที่ยวบางคนที่มาเที่ยวประเทศไทย ถือโอกาสไปเรียนวิชาการนวดแผนโบราณ หรือเรียนวิธีการเพ้นท์ผ้าไหม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นของไทยๆในเวลาอันสั้นๆด้วยราคาถูกไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับเงินฟรังก์สวิสเมื่อกลับไปยังประเทศของตนเองแล้วก็เอาวิชาเหล่านี้ไปเปิดคอร์สสอนด้วยราคาแพง ฉันให้สัญญากับตนเองว่าจะไม่เอาเปรียบพวกชาวจีนที่น่ารักนี้เด็ดขาด

ครูหวังมีอายุเจ็ดสิบสองปี แต่เธอยังแข็งแรงและดูไม่แก่เลย แม้ว่าเธอจะย้อมผมให้ดำอยู่เสมอ แต่คนเอเชียส่วนใหญ่ก็ย้อมผมกันทั้งนั้น เธอปลดเกษียณมานานหลายปีแล้ว แต่ไปสอนมู่หลานฉวนที่ปาร์คทุกวันตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเก้าโมงไม่เคยขาดเลย ยกเว้นในวันฝนตก ปาร์คแห่งนี้จะแลดูเงียบเหงา

พอฉันกลับจากฮอลิเดย์ที่เมืองไทยสามอาทิตย์ ครูหวังและเจี๋ยต้ายกับเจี๋ยหวูก็เข้ามากอด พร้อมกับบอกว่าคิดถึง “หวั่วเหมินเฉียงเนี่ยน” ทำให้ฉันซาบซึ้งมาก โดยปกติคนจีนจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมานอกหน้า ไม่ว่าจะโกรธหรือเกลียด ฉันจึงรู้ได้โดยไม่เข้าข้างตนเองว่า เป็นลูกศิษย์คนโปรดของครูหวัง ไม่เคยคิดว่าเพราะฉัน “ให้” อะไรต่ออะไรเธอมากกว่าคนอื่น แต่คิดว่าเป็นน้ำจิตน้ำใจที่บริสุทธิ์ต่อกันต่างหาก

เคยเชิญทั้งครูหวังและเพื่อนดีสองคนนี่มาดื่มกาแฟที่บ้าน เขาก็ทำตัวดีมาก ไม่จุ้นจ้านเลย และอยู่เพียงหนึ่งชั่วโมงก็กลับไป

เพื่อนชาวอเมริกันและชาวไอริชที่อยู่คอนโดใกล้ๆกับปาร์คเช่นกันเคยขอให้ฉันไปรำดาบด้วย เมื่อรู้ว่าฉันไปทุกเช้า แต่ฉันปฏิเสธอย่างบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นว่า ฉันไม่รู้ว่าชาวจีนจะมีปฏิกิริยาเช่นใดหากฉันพาเพื่อนฝรั่งสองคนนี้ไปด้วย ฉันเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวในปาร์ค แต่เพราะมีลักษณะเป็นคนเอเชีย ผมดำตาดำ แม้จะสูงกว่าคนอื่นอยู่บ้าง และเครื่องแต่งกายจะผิดไปจากพวกเขาจนสังเกตได้ ฉันก็ไม่ดูโดดเด่นสะดุดตาเมื่ออยู่ในหมู่คนจีน

ถ้าเป็นเพียงเพื่อนฝรั่งสองคนนี่ก็พอทำเนา แต่ฉันเกรงว่าหากเพื่อนฝรั่งคนอื่นรู้เข้า ทุกคนก็จะอยากเข้ามาร่วมด้วย ตามนิสัยฝรั่งที่ชอบทำตามเพื่อนคนอื่น ต่างก็จะแห่กันเข้ามาในปาร์ค อาจจะเป็นเหตุให้ชาวบ้านหมดความสงบและเสียความเป็น “อิสระ” อันมีอยู่น้อยนิดของเขาไป ไม่ใช่เพราะความมีน้ำใจดีของคนเอเชียดอกหรือที่ปล่อยให้พวกฝรั่งเข้ามามากมายในสมัยก่อน ทำให้หลายประเทศต้องเสียเอกราชไป

แม้แต่ในปัจจุบัน การท่องเที่ยวอาจจะเป็นการทำเงินเข้าประเทศอย่างมหาศาล ช่วยให้หลายคนมีงานทำ แต่หากไม่ระวัง การท่องเที่ยวแบบล้นหลามหรือ “Mass Tourism” ก็จะเป็นการเข้าข่าย “ยึดเอกราช” เหมือนกัน แต่เป็นในทางการเงิน

ฉันติดใจมู่หลานฉวนมาก หากไม่ได้ไปวันใดวันหนึ่งจะรู้สึกว่ามีอะไรขาดๆ และหากไม่ฝึกซ้อมทุกวันก็จะเหมือนกับเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ติดเครื่องเป็นเวลานาน เกิดความฝืด ต้องหยอดน้ำมันช่วยให้ลื่น

มีบางวันฉันสังเกตว่า มีคนแปลกหน้าเดินมาสำรวจว่าเราทำอะไรกันบ้าง เมื่อเป็นวันนั้นทุกคนจะเกร็งกันไปหมดรวมทั้งครูหวังด้วย ตอนแรกฉันก็ไม่คิดอะไร แต่มาวันหนึ่งไปอ่านพบว่าในทุกเขตที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เขาจะมีเจ้าหน้าที่เอาไว้คนหนึ่งสำหรับตรวจดูแลความเรียบร้อย และตัดสินความหากว่ามีการทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น จนถึงบัดนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าคนแปลกหน้าที่ฉันเห็นเป็นครั้งคราวนั้นเป็นใครกันแน่

วันหนึ่งจำได้ว่าเป็นวันจันทร์เพราะไปตีกอล์ฟวันอาทิตย์ กลับถึงบ้านมีอาการปวดไหล่ด้านขวา พอไปเรียนมู่หลานฉวนก็แลเห็นชายแก่คนหนึ่งแต่งตัวปอนๆกำลังยืนนวดหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ ประหลาดแท้ๆที่ฉันไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อนเลย แต่ในยามที่ฉันเจ็บไหล่ ชายผู้นี้ก็ปรากฏกายขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ คงจะเป็นเหตุบังเอิญพอสบตากันฉันก็เอามือจับไหล่บอกใบ้ขอให้เขานวดให้ฉันด้วย

อีกไม่กี่นาทีต่อมาชายผู้นี้ก็เดินมาหา บอกให้นั่งลงบนม้าหิน แล้วก็นวดให้เบาๆ เสร็จแล้วก็เอามือข้างหนึ่งมาบังตาของฉันไว้ อีกข้างหนึ่งจับไหล่ทำอยู่ได้ไม่กี่นาทีความปวดก็ทุเลาลงฉันขอบคุณเขาแล้วบอกว่า วันนี้ไม่มีสตางค์ติดตัวมาเลย แต่ว่าพรุ่งนี้ฉันจะมาที่ปาร์คอีก แล้วจะเอาเงินมาชำระให้ เขาก็บอกว่า “ไหมก้วนฉี่” ไม่เป็นไรไม่จำเป็น

วันรุ่งขึ้นพบชายคนนี้อีก ควักเงินหยวนจากกระเป๋ากำหนึ่งส่งให้ เขาไม่ยอมรับ บอกว่าไม่เอา ไม่เป็นไร จะยัดเยียดอย่างไรก็ไม่เอาท่าเดียว ฉันเลยปล่อยเลยตามเลย คิดว่าหากพบเขาอีกจะหาของขวัญเล็กน้อยมาสมนาคุณแต่จนบัดนั้นถึงบัดนี้ฉันก็ไม่พบชายผู้นี้อีกเลย ฉันจะเจอเขาอีกไหมหนอ

ตอนไปอยู่ใหม่ๆยังไม่สนิทกับโชเฟอร์ของเรา จึงยังไม่ให้เขาติดตามไปช่วยซื้อของเช่นเดี๋ยวนี้ ซื้อของเสร็จเด็กในร้านช่วยแบกของออกมาใส่รถควักเงินจะให้ทิปเขา เขารีบปฏิเสธไม่ยอมรับ แม้แต่คนรักษาความปลอดภัยที่คอนโด เขามักจะช่วยฉันขนของเสมอ จะให้ทิปเขาเขาก็ไม่เอาฉันมารู้ภายหลังว่าที่ประเทศจีนการให้ทิปเป็นการทำผิดกฎ แต่ว่าพวกที่ทำงานตามโรงแรมห้าดาว ไม่ว่าใครต่างก็อยากได้ทิปกันทั้งนั้น หากไม่ให้ก็จะรีรออยู่นั่นแหละ ไม่ยอมจากไปง่ายๆ เราชาวต่างชาติใช่หรือไม่ที่ไปทำให้นิสัยดีๆของเขาเสียไปอย่างน่าเสียดาย

ก่อนจะไปอยู่เมืองจีน มีเพื่อนรุ้งน้องคนไทยที่น่ารักมากคนหนึ่งอวยพรวันปีใหม่ให้ฉันได้พบแต่คนดีๆในประเทศนี้ เธอมีปากพระร่วงหรือเปล่าหนอ พรของเธอจึงศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้