ลูกศิษย์ของฉัน

จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าไม่แปลกก็ได้ คราวใดที่มีคนไทยคนใดคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเพื่อนหรือสนิทกัน รู้ว่านอกจากฉันจะเป็นคุณนายเป็นแจ๋ว เป็นอะไรต่ออะไรอีกสารพัดอย่างแล้ว ยังสอนหนังสืออีกด้วย เขามักจะถามฉันว่า สอนอะไรในประเทศสวิส สอนภาษาไทยหรือ

พอ บอกเขาว่าฉันสอนภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาชาวสวิสในโรงเรียนจริงๆ (ไม่ใช่สอนแบบเล่นๆอยู่ที่บ้าน) เขาจะแสดงความแปลกใจอย่างออกนอกหน้าอาจจะถึงอยู่ในใจว่ายายนี่โม้หรือเปล่า (วะ) ฉันเป็น “คนไทย” จะไปเก่งกาจสอนคนสวิสได้อย่างไร มีแต่คนสวิสจะสอนคนไทยเสียมากกว่าละกระมังก็ดูตามสถาบันหลายแห่งในเมืองไทยสิมีประกาศโฆษณากันครึกโครมถมไปว่าโรงเรียนนี้สอนภาษาอังกฤษโดยอาจารย์ชาวต่างประเทศ เพื่อเรียกต้องความสนใจ จะเป็น “อาจารย์” มาจากประเทศไหนก็ไม่รู้ละ ขอให้เป็นต่างประเทศก็แล้วกัน ไม่สอนโดยคนไทยเป็นใช้ได้

อยากจะอธิบายให้ฟังว่า ฝรั่งมีหลายชาติ หลายภาษา หลายเผ่าพันธุ์ก็เหมือนกับชาวเอเชียนั่นแหละ มีทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ลาว ฯลฯ ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าเป็นฝรั่งแล้วจะพูดภาษาอังกฤษกันไปหมดทุกคน

เรื่องสอนภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาชาวสวิสนี่ ความจริงเป็นปลายเหตุที่ต่อเนื่องจากสาเหตุซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งนานหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ฉันเพิ่งเรียนหนังสือจบมาใหม่ๆ ไปทำงานอยู่ในบริษัทสวิสที่ในขณะนั้นเป็นบริษัทของชาวสวิสที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยเดี๋ยวนี้จะยังคงใหญ่เหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆก็คือบริษัทนี้ยังคงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไป ทั้งๆที่บริษัทแม่ในสวิสเองเป็นเพียงบริษัทเล็กๆเท่านั้น

มีหนุ่มๆชาวสวิสทำงานอยู่ที่บริษัทนี้เป็นจำนวนมาก และต่างก็ยังเป็นโสด แต่จะ “สด” หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในสมัยนั้นบริษัทมีกฎห้ามหนุ่มๆชาวสวิสแต่งงานกับสาวไทยหรือสาวเอเชีย เขามีสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษรทีเดียว ถ้าใครฝ่าฝืนบริษัทจะเลิกสัญญาจ้างและจะถูกส่งกลับบ้านที่สวิสทันที

แต่ก็อย่างว่า อะไรที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ มีหนุ่มชาวสวิสของบริษัทนี้หลายคน “แอบ” ไปมีอะไรต่ออะไรกับพวกสาวใช้บ้าง กับพวกที่จัดหาบ้านให้เช่าบ้าง กับน้องนางบ้านนาบ้าง แต่ตราบใดที่ยังทำกันแบบลับๆไม่เปิดเผยถึงแม้ว่าทางบริษัทจะได้ระแคะระคายก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย เพราะไม่อยากให้มีเรื่องครึกโครมเป็นข่าวอื้อฉาว แต่สาวพวกนี้ไม่ได้ใบทะเบียนสมรสไปกอดไว้ ไม่ได้รับเชิญให้ไปงานไปการอะไรต่ออะไรของบริษัทเรียกว่าไม่ได้รับการยกย่องให้เป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ฉันเคยถามชาวสวิสคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่นี่ว่าทำไมบริษัทจึงมีกฎเช่นนี้ เขาบอกว่าบริษัทไม่ต้องการให้เกิดมี “ลูกผสม” ขึ้น จะเป็นปัญหาในภายหลัง ฉันเห็นว่าเป็นคำตอบที่แปลกดี แล้วไอ้ที่ลักลอบได้เสียออกลูกกันมาเป็นแถวๆไม่มี “พ่อ” นั่นล่ะ ไม่ยิ่งไปกว่าหรือ

คนสวิสที่ให้คำตอบกับฉันคนนี้ก็ได้เมียเป็นคนไทยเหมือนกัน เป็นแม่ม่ายลูกติดถึงสามคน แต่แกก็ดีมากส่งเสียเงินทองให้ไปเรียนหนังสือต่อที่สวิสจนได้ดีกันทุกคน แต่กว่าแกจะได้แต่งงานออกหน้าออกตากับเมียคนนี้ก็เลือดตาแทบกระเด็น เพราะนโยบายของบริษัทและความ “ปอด” ของแกเอง

ในที่สุดเมื่อสักยี่สิบกว่าปีมานี้กฎอันนี้ของบริษัทก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เพราะชาวสวิส “คนเก่ง” ของบริษัทคนหนึ่งลุกขึ้นแต่งงานกับสาวฟิลิปปินส์โดยไม่แคร์ว่าจะถูกไล่ออกหรือไม่ บริษัทไม่ได้ไล่เขาออก แต่ย้ายเขาและเมียไปอยู่เสียที่มาเลเซีย เดี๋ยวนี้คู่นี้ก็ยังกินกันดีที่เมืองลูเซิร์นเหมือนกัน มีลูกด้วยกันถึงสี่คน สองคนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ส่วนตัวชาวสวิสคนนี้ลาออกจากบริษัทดังกล่าวมาทำงานให้กับธนาคารแห่งหนึ่ง ตั้งแต่หนุ่มสวิสคนนี้ลุกขึ้นปฏิวัติ หนุ่มๆชาวสวิสของบริษัทนี้ก็ลุกขึ้นแต่งงานกับสาวไทยและสาวเอเชียกันเป็นแถว จะอยู่ด้วยกันยืดหรือไม่ยืดไม่ทราบ เพราะไม่ได้มีการติดต่อสมาคมกัน ที่น่าขันก็คือ ในสมัยนั้นมีหญิงโสดชาวสวิสอยู่ในกรุงเทพฯเพียงสองคน เมื่อเทียบกับหนุ่มสวิสแล้วเรียกว่าหนึ่งต่อร้อย แต่ว่าทั้งสองคนก็ยังคงนั่งร้องเพลงรออยู่เช่นเดิม เพราะสาวไทยเอาไปกินเรียบ

ในสมัยนั้นหนุ่มสวิสพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เพิ่งเรียนหนังสือจบ เพิ่งออกทำงานกันได้คนละไม่กี่ปี ประเทศไทยเป็น “เมืองนอก” ประเทศแรกที่เขาได้ไปอยู่ ภาษาอังกฤษของพวกเขาก็รู้กันแบบที่ฉันเรียกว่า ภาษาอังกฤษแบบ “Schoolboy’s English” พอพวกเขาเขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ ฉันทนอ่านไม่ไหวก็ต้องแก้ แต่ส่วนใหญ่พยายามแก้โดยไม่ให้เข้ารู้ตัวว่าดัดแปลงให้ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกเขิน โมเมว่าเขาให้ “คำบอก” มาอย่างไร ฉันก็เขียนลงเป็นชวเลขออกมาอย่างนั้น สมัยนั้นยังไม่มีแฟ็กซ์หรือคอมพิวเตอร์ อย่างดีก็เพียงเทปบันทึกเท่านั้น เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าก็ยังคงเป็นสิ่ง “มหัศจรรย์” ที่เลขาฯน้อยคนนักจะมีใช้ ตอนหลังพวกเขารู้แกวยอมรับและบอกฉันว่าอยากจะแก้ไขดัดแปลงอะไรก็ทำไป ฉันก็เลยได้ใจอย่าลืมนะคะว่าตอนนั้นฉันยังเป็นสาวเอ๊าะๆอยู่ ไม่ใช่สาว “น้อย” เหมือนสมัยนี้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็น “ครู” สอนภาษาอังกฤษให้กับชาวสวิสของฉัน

แม้จนบัดนี้ชาวสวิสที่รู้จักฉันมาตั้งแต่สมัยนั้นยังกระเซ้าอยู่ว่า ฉันได้ทำงานให้กับบริษัทสวิสใหญ่ๆ ในเมืองไทยถึงสองบริษัท แต่เหตุไฉนจึงได้รอดเงื้อมมือพวกเขา ไพล่ไปแต่งงานกับหนุ่มสวิสที่เคยทำงานกับบริษัทสวิสในเมืองไทย เป็นแค่บริษัทตัวแทนของสวิส ฉันก็ได้แต่ตอบเป็นภาษาเยอรมันอย่างเย่อหยิ่งว่า “ซิกซาล” (Schicksal) – มันแล้วแต่ดวงค่ะ

โรงเรียน ที่ฉันสอนเป็นวิทยาลัยพาณิชย์เอกชนที่มีชื่อเสียงไม่ใช่แต่เฉพาะในลูเซิร์น แต่เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสอนภาษาต่างประเทศต่างๆ ค่าเล่าเรียนแพง แต่ก็มีคนนิยมไปเรียนกันมากคงจะดีจริงกระมัง

ฉันไปสอนอาทิตย์ละสองวัน คือ สอนนักศึกษาปีที่สองและปีที่สามซึ่งเป็นปีสุดท้าย ฉันเคยสอนภาคเย็นให้กับโรงเรียนพาณิชย์ซึ่งอยู่ในเครือของสมาคมพาณิชย์ของเมืองลูเซิร์นด้วยเหมือนกัน แต่เลิกไปเพราะไม่มีเวลา นักศึกษาที่อยู่ปีสุดท้ายไม่ว่าจะมาจากโรงเรียนพาณิชย์ไหนในรัฐลูเซิร์นจะต้องมาสอบไล่ปีสุดท้ายกันในเครือของสมาคม เพราะถ้าผ่านการสอบจากที่นี่ไป ทางประเทศสวิสจะออกประกาศณียบัตรรับรองให้ การออกข้อสอบและตรวจข้อสอบของนักศึกษาทั้งหมด ทางโรงเรียนในสมาคมเป็นผู้รับผิดชอบและเขาก็เลือกฉันเป็นกรรมการควบคุมและตรวจข้อสอบภาคภาษาอังกฤษกับเขาด้วยคนหนึ่ง

ฉันรักการสอน และรักลูกศิษย์อีกต่างหาก ทั้งๆที่งานสอนอย่างทุ่มเทหมดหัวใจเป็นงานหนัก ยิ่งไปกว่านั้นนักศึกษาสวิสก็ไม่ง่ายต่อการชักจูงประเทศสวิสเป็นประชาธิปไตยที่นักศึกษาไม่เกรงว่ากลัวที่จะซักถาม เพราะฉะนั้นการที่จะสอนอะไรให้พวกเขาครูจะต้องรู้จริง ไม่งั้นจะถูกลองภูมิจนน้ำตาร่วงกันเลยแหละค่ะ ถ้าสิ่งไรที่ไม่รู้ก็บอกไปตามตรงว่าไม่รู้ แต่จะไปค้นดูให้

การสอนในชั้นหนักไปในทางเขียนจดหมายธุรกิจ การอ่านให้เข้าใจ การฟังให้เข้าใจ และการพูดโต้ตอบโดยใช้สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆมาประกอบการสอน ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้ อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงเวลาสอบไล่กันอีกแล้ว เป็นกรรมการสอบเหนื่อย แต่ก็สนุก ฉันก็สนุกไปได้เรื่อยๆแหละค่ะ พวกนักศึกษามักจะมีอะไรแปลกๆ น่ารัก มาให้เราได้หัวเราะกันเสมอ ไม่ใช่หัวเราะเยาะ แต่หัวเราะไปกับพวกเขา เพราะสนุกกับศัพท์แสลงและสำนวนแปลกๆที่เขาควักออกมาใช้

มีวันหนึ่งฉันกับเพื่อนชาวอังกฤษนั่งเป็นกรรมการสอบ “สนทนา” (Oral Exam) โดยปกติจะมีกรรมการสองคนต่อนักศึกษาหนึ่งคน คนหนึ่งซักถามอีกคนหนึ่งให้คะแนน นักศึกษาคนหนึ่งเดินเข้ามากล่าวคำสวัสดี เราเชิญเขาให้นั่งลง เพื่อจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายไม่เครียดจนเกินไป ฉันจึงถามเขาเป็นประโยคแรกว่า “Are you nervous ? – คุณ (เป็น) ประหม่าหรือเปล่า” เขาตอบปากคอสั่นว่า “No, I’m Swiss. – เปล่าครับ ผม (เป็น) คนสวิส” (ฮา)

ครั้งหนึ่งฉันออกข้อสอบการฟังหรือที่เรียกว่า Listening Comprehension โดยใช้เทป ในการสนทนา ฉันให้บอสและเลขาฯคุยกันถึงแผนการนัดหมายของบอสตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์นักศึกษาเพียงแต่จะต้องเติมวันเวลาและจุดประสงค์ของการนัดหมายกับผู้ที่จะมาพบปะกันให้ถูกต้องเท่านั้น พวกเขาทำกันได้ดีทุกข้อ จนมาถึงข้อที่เป็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เลขาฯพูดกับบอสว่า “Now tomorrow – You’re in London all day. Your wife’s coming up in the evening and l’ve got two tickets for you for the theater. The play is called ‘No Sex Please, We’re British’. – สำหรับพรุ่งนี้คุณจะอยู่ในกรุงลอนดอนทั้งวัน แต่ภรรยาของคุณจะเขามาในลอนดอนดิฉันได้ซื้อตั๋วดูละครสองใบไว้ให้แล้วละครมีชื่อเรื่องว่า ‘ได้โปรดเถิด ขออย่าให้มีเซ็กซ์ (เพราะ) เราเป็นคนอังกฤษ’”

ฉันต้องการให้ลูกศิษย์เติมลงไปว่าวันศุกร์บอสกับภรรยาจะต้องทำอะไรบ้างก็เท่านั้น ลูกศิษย์ของฉันคนหนึ่งเขียนมาว่า “Friday, all day no sex because We’re British. – วันศุกร์เราไม่ (ควร) มีเซ็กซ์ทั้งวัน เพราะเราเป็นคนอังกฤษ” ฉันตรวจข้อสอบไปหัวเราะไปจนปวดท้อง โจ๊กที่เกี่ยวกับลูกศิษย์นี่ฉันขอสงวนสิทธิ์ค่ะ เพราะเป็นออริจินัล เป็นธรรมชาติดีเหลือเกิน

ฉันเคยสอนสำนวน “All work and no play makes Jack a dull boy.” ให้พวกเขา แปลในภาษาไทยคร่าวๆว่า “ถ้าทำแต่งานอย่างเดียวไม่มีการเล่น จะทำให้แจ๊คเป็นเด็กเชื่องซึม” วันหนึ่งเห็นพวกเขาก้มหน้าก้มตาท่องหนังสือ เพราะวันนั้นมีสอบวิชากฎหมายฉันเลยท่องสำนวน All work and no play… ออกมาดังๆ ยังไม่ทันจบประโยค พวกเขาก็ร้องพร้อมๆกันออกมาว่า… males jack adulterer. แปลว่า ถ้าทำแต่งานอย่างเดียวจะทำให้แจ๊คกลายเป็น “ชายชู้” เพราะ adulterer แปลว่าชายชู้ เพราะยังงี่แหละค่ะ ฉันจึงได้รักการเป็นครูนักหนา

แต่อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ สอนลูกศิษย์สวิสก็ไม่ใช่จะง่ายเสมอไป บางครั้งพวกเขายั่วโมโหจนฉันแทบจะเดินออกจากชั้น หรือไม่ก็ไล่ตัวแสบออกไปจากห้อง ซึ่งก็ยังไม่เคยทำ ไล่ออกไปทำไมให้โง่ เขาจะได้ออกไปนั่งดื่มกาแฟเอ้อระเหยสบายไปน่ะซีคะ ก็ได้แต่เพียงขู่ๆ ไปอย่างนั้นเอง ฉันมักจะใช้การพิมพ์แทนการเขียนด้วยลายมือ เพราะว่าลายมือของฉันนั้นไก่เขี่ยยังสวยเสียกว่า อีกอย่างหนึ่ง ฉันเป็นคนใจร้อนสมองมักจะสั่งการเร็วกว่ามือ วันหนึ่งฉันเขียนชวเลขแบบเกร๊ก (Gergg) ให้ลูกศิษย์ดูบนโอเวอร์เฮดโปรเจ็คเตอร์ เจ้าตัวแสบประจำชั้นถามว่า “แล้วลายมือลองแฮนด์ของครูกับชอร์ตแฮนด์มันต่างกันที่ตรงไหน” ดูสิคะว่าเขายวนกับฉันแค่ไหน

ที่ ฉันเห็นว่าน่าสนใจมากที่สุดก็คือลูกศิษย์ของฉันมาจากที่ต่างๆกัน อายุต่างกัน เคยมีอาชีพต่างกัน คุณผู้อ่านคงจะสงสัยว่า เอ๊ะ ยังไงกันแน่ ขออธิบายให้ฟังเพียงคร่าวๆว่า ระบบการศึกษาของประเทศสวิสออกจะยุ่งยากอยู่สักหน่อย ไม่ค่อยจะง่ายต่อการที่จะทำความเข้าใจ ประเทศสวิสเป็นประเทศที่ไม่เห่อปริญญา และการกินดีอยู่ดีของผู้คนในประเทศก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่จบปริญญา คนที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัยมีเป็นส่วนน้อย ทั้งๆที่การเข้าวิทยาลัยไม่มีการสอบเข้า หรือเอนทรานซ์ที่แทบจะเหยียบกันตายอย่างในบางประเทศ

เด็กนักเรียนคนใดที่มีคะแนนเรียนดี ถ้าอยากเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้า

ได้ อยากเรียนสาขาอะไรก็ได้ ไม่จำกัดเพราะเขาถือว่าการเรียนเป็นสิทธิ์ของคนทุกคน ถ้าเขาอยากจะเรียนและมีความสามารถ แต่เด็กส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไปเรียนสายอาชีพกันเสียมากกว่าทั้งๆที่มีความสามารถที่จะไปเรียนในมหาวิทยาลัยได้อย่างสบายๆ การเรียนในสายอาชีพใช้เวลาการเรียนและการฝึกงานสองถึงสี่ปี แล้วแต่ว่าเขาจะเรียนอาชีพอะไร นอกจากนั้นระหว่างเรียนและฝึกงาน เขาก็ยังได้เงินเดือนอีกด้วย ไม่จำเป็นต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ไปจนอายุสามสิบ

การฝึกอาชีพและการเรียนไปด้วยพร้อมกัน โดยมีหลักสูตรการเรียนตรงกันกับอาชีพที่ตนฝึกฝนอยู่ ทำให้พวกเขามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ เป็นที่รู้จักและยอมรับกันทั่วโลก แม้แต่วิศวกรหรือสถาปนิกก็ไม่จำเป็นต้องไปเข้ามหาวิทยาลัย จึงไม่มีใครมี “ปมด้วย” ว่าไม่มีปริญญา เพราะทุกคนมีโอกาสไต่เต้าไปจนถึงจุดหมายที่เขาต้องการ ถ้าหากเขามีความขยันหมั่นเพียรและมีความตั้งใจจริง

วิธีนี้เป็นวิธีขจัดการเรียนมากแบบที่ใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันไม่ได้ออกไป ไม่ใช่เที่ยวไปแย่งที่คนอื่นในมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนรัฐศาสตร์ แต่จบออกมาแล้วมาทำงานแบงค์ เช่นนี้เป็นต้น

ประเทศนี้ไม่ให้ปริญญาใครง่ายๆหรอกค่ะ ส่วนใครที่ได้ปริญญาจากประเทศนี้ไปก็ต้องไปสอบถามกันให้ดีว่าได้มาจากสถาบันไหนกันแน่ อาจจะมีหลายสิ่งที่ฉันไม่รู้แต่คนต่างชาติอาจจะรู้มากกว่าฉันก็ได้ในเรื่องนี้พวกที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยมักจะเป็นพวกที่อยากเป็นหมอเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเคมีเป็นทนายความอะไรเหล่านี้ เป็นต้น ลูกศิษย์ของฉันส่วนใหญ่เคยมีอาชีพมาก่อนแล้วทั้งสิ้นแต่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพเพราะไม่สบายด้วยโรคอย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะเป็นโรคภูมิแพ้ ไม่สามารถจะทำงานในอาชีพนั้นๆได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจกลับไปเข้าโรงเรียนใหม่เพื่อเรียนวิชาด้านการบริหารธุรกิจอีกสามปีจะได้ไปทำงานที่ไม่ขัดกับโรคประจำตัวที่เขามีอยู่ บางคนเคยมีร้านอาหาร เคยเป็นกุ๊ก เป็นคนทำขนมปัง เนยแข็ง เป็นช่างทำผม เป็นคนขายเนื้อ เป็นคนทำสวน เป็นช่างไฟฟ้า ฯลฯ บางคนเคยเรียนมหาวิทยาลัย แต่เลิกเสียกลางคันและมาตั้งต้นเริ่มเรียนใหม่ เพราะถ้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วไม่จบก็ไปหางานทำที่ไหนไม่ได้ เขาไม่รับ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์การฝึกงานในสาขาอาชีพใดๆเพราะฉะนั้นคนที่จบด้านการฝึกอาชีพจึงได้เปรียบกว่าในแง่นี้

ลูกศิษย์คนหนึ่งเคยเป็นกะลาสีเรือติดเรือแสวงหาความแปลกใหม่ไปทั่วโลกคนนี้เป็นคนฉลาด แต่งตัวดี มีรสนิยมดีไม่น่าเชื่อว่าจะเคยเป็นลูกเรือมาก่อน

ฉันเคยมีลูกศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่งอายุตอนที่มาเข้าเรียนในขณะนั้น 47 ปี เธอเคยเป็นมิดไวฟ์ (midwife) มาเมื่อตอนยังไม่ได้แต่งงาน ได้สามีเป็นหมอเลยเลิกทำงาน อยู่บ้านดูแลเลี้ยงลูกเต้าจนโตไปหมด จึงอยากกลับมาเรียนต่อเพื่อจะได้ออกไปทำงานนอกบ้านแก้เหงาเพราะมาถึงตอนนี้สามีก็เป็นหมอใหญ่ไปแล้ว และเป็นนายกสมาคมแพทย์อีกด้วย จึงมีงานมาก ไปประชุมอะไรต่ออะไรเสมอ ไม่ค่อยจะได้มีเวลาอยู่บ้าน เธอก็เลยตัดสินใจมาเรียนต่อสามปี เพื่อจะได้ออกไปทำงานในออฟฟิศ พอเรียนจบเธอก็บอกฉันว่าอยากจะเล่นการเมืองแต่ปรากฏว่าไม่ได้รับเลือกตั้ง ตอนนี้จะทำงานที่ไหนไม่ทราบ ไม่ได้ข่าวคราวนานแล้ว

มีลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่ฉันจะลืมไม่ได้เลยชั่วชีวิต เขาใส่หมวกแบเรต์อยู่ตลอดเวลา ไม่เคยถอดเลย เป็นลูกชายของคนมีชื่อเสียง จบมหาวิทยาลัยและเคยเป็นนักเคมี แต่ติดยาเสพติดขนาดหนัก ถูกส่งไป “ถอน” ที่สถาบันแห่งหนึ่งเลิกได้ อายุอยู่ในราวสามสิบ รูปร่างมีแต่หนังหุ้มกระดูก เนื้อหนังเหี่ยวย่นเหมือนคนอายุสักแปดสิบ บ้าๆบอๆบางทีก็พูดจากันรู้เรื่อง ฉลาดเฉลียวบางทีก็เบลอไปเฉยๆ วันที่เขามาสอบการสนทนาโต้ตอบกับฉันนั้น มีฉันกับเขาเพียงสองคนในตึกของโรงเรียน ทุกคนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ฉันรู้ว่าเขามีมีดอยู่ในกระเป๋ากางเกง พูดจากวนไม่รู้เรื่อง เขาหลงว่าฉันเป็นแฟนเขา กว่าจะให้เขาออกจากห้องไปได้ก็ต้องควักวิชาจิตวิทยาออกมาใช้จนหมดไส้หมดพุงฉันเลยบอกทางโรงเรียนว่า ถ้ายังขืนให้นายคนนี้มาเรียนปีที่สามเพราะเห็นแก่ “มนุษยธรรม” (แบบประชาธิปไตยของสวิส) แล้วละก็ ฉันจะขอลาออก ครูสอนภาษาฝรั่งเศสก็ยื่น “ไม้ตาย” เหมือนกัน ทางโรงเรียนจึงตัดสินใจไม่ให้เขาใสเรียนต่ออีก

ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ หลังจากที่ได้ขับเคี่ยวกันมาเป็นเวลาถึงสองปีเต็มๆพวกเขายอมให้ฉันบ่นว่าปากเปียกปากแฉะเรื่องไม่ทำการบ้านบ้าง เรื่องมาเข้าชั้นเรียนสายบ้าง และเรื่องอะไรต่ออะไรอีกจิปาถะ ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องจากไปตามทางของเขา วันหนึ่งพวกลูกศิษย์ของชั้นที่ฉันและครูทุกคนลงความเห็นว่า “เฮี้ยว” ที่สุด ได้นำเอาช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาให้ฉัน จูบฉันที่แก้มทั้งสองข้าง และบอกว่า “We love you very much.” ฉันงี้ยืนน้ำตาซึมเลยค่ะ

ลูกศิษย์แต่ละคนมีชีวิตที่น่าสนใจ เพราะมีความเป็นมาไม่เหมือนกัน เป็น “หลายชีวิต” ที่รวมอยู่สถานที่แห่งเดียวกัน โดยมีจุกประสงค์ร่วมกัน คือ อนาคตที่ควรจะดีกว่าปัจจุบัน ไม่มีใครแก่เกินเรียนคุณผู้อ่านเห็นด้วยไหมคะ ฉันจึงไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าตนเองเป็นเพียง “เรือจ้าง” เท่านั้น