มิตรภาพในจีนเริ่มแบ่งบาน

เมื่อไปถึงเซี่ยงไฮ้ได้สองวัน ก็ถูกปล่อยให้ผจญชะตาชีวิตตามลำพัง ซึ่งก็ไม่ใช่ของใหม่ เพราะโดนมาแล้วสามสี่ประเทศ วอลเตอร์ต้องไปทำงาน ขืนมานั่งกอดเมียปลอบใจให้คลายเหงาอยู่ที่บ้านก็พอดีบริษัทเจ๊ง

อันที่จริงความเหงากับฉันไม่ค่อยจะคุ้นเคยกัน เพราะอยู่นิ่งๆกับใครไม่เป็น ต้องหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาทำอยู่เสมอ ได้รู้จักค่าของการเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงเมื่อไปอยู่ต่างแดนไปตีเทนนิสหรือเล่นกอล์ฟประเดี๋ยวเดียวก็รู้จักกับชาวบ้านไปทั่ว

แรกๆก็ไปตระเวนหาซื้อของกินของใช้มาไว้ในบ้าน ต่อๆไปก้ออกไปเที่ยวเฉยๆ เพราะเพิ่งมาอยู่จึงอยากจะเห็นไปเสียให้หมด โดยเฉพาะสถานที่ที่คิดว่าน่าสนใจ ถนนที่ฉันไปเดินเล่นบ่อยๆในระยะแรกที่มาถึงเซี่ยงไฮ้คือ ถนนนานจิงที่ไม่เคยหลับ และก็ถนน “บุนด์” (Bund) หรือที่คนจีนเรียกว่า “ไวทาน” ซึ่งเป็นถนน ใหญ่กว้างขวางเทียบได้กับถนนราชดำเนินของกรุงเทพฯ

ริมถนนไวทานมีทางเดินกว้างหลายเมตรเลียบไปตามแม่น้ำ “หวงโป” ทางการได้สร้างถนนนี้ขึ้นเพื่อให้ชาวเมืองได้มีโอกาสมาเดินเล่นหรือนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจในยามว่าง ชาวเซี่ยงไฮ้จึงมีสถานที่สำหรับไปเดินเล่นหลายแห่งถ้ารวมปาร์คต่างๆเข้าด้วย

ถนนไวทานสร้างไว้นานแล้วมีผู้คนคึกคักทั้งกลางวันและกลางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามกลางคืนถนนจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟนีออนเจิดจ้าเห็นได้แต่ไกล ชาวเมืองเล่าว่าเพียงไม่กี่ปีมานี่เอง เวลาขับรถไปตามถนนในยามค่ำคือ จำเป็นจะต้องเปิดไฟหน้าหม้อให้สว่าง เพราะถนนมืดมิดไม่มีแสงไฟเลย เคยเล่าแล้วว่าเมืองจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อะไรที่เคยมีเคยเป็นในวันนี้ วันรุ่งขึ้นไม่มีเสียแล้ว หรือไม่ก็มีสิ่งใหม่ผุดขึ้นมาทดแทน ใครที่เคยไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนที่แล้ว มาถึงเดือนนี้กลายเป็นอดีตอันยาวนานไปเสียแล้ว

บนถนนไวทานมีตึกเก่าแก่ แต่ได้มีการทำนุบำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดีอยู่หลายแห่ง โรงแรม “พีช” (Peace) ที่เทียบได้กับโรงแรมโอเรียนเต็ลของไทยในสมัยก่อนก็ตั้งอยู่บนถนนสายนี้ยอดหอคอยของโรงแรมเห็นได้แต่ไกลนอกจากนั้นแล้วธนาคารกรุงเทพก็ตั้งอยู่บนถนนสายนี้ด้วย ได้ข่าวว่าสถานกงสุลไทยก็ตั้งอยู่บนชั้นบนของตึกธนาคารกรุงเทพ เท็จจริงอย่างไรไม่ยืนยัน เพราะยังไม่เคยเข้าไปทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่เลยแม้แต่สักครั้งเดียว

ในสมัยล่าอาณานิคม เซี่ยงไฮ้ถูกยึดครองโดยฝรั่งตาน้ำข้าวหลายชาติจึงมีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเหลือไว้ให้เห็นหลายแห่ง โดยเฉพาะบนถนนไวทาน คำว่า “บุนด์” คงจะมาจากคำว่า”Bund” ในภาษาเยอรมัน ซึ่งแปลว่าสหพันธ์ เคยอ่านพบว่าที่เซี่ยงไฮ้ถึงกับมีป้ายเขียนติดไว้ในบางแห่งว่า “ห้ามสุนัขและชาวจีนเข้ามาในสถานที่นี้” ไม่ทราบว่าชาวจีนจะมีโคลงในภาษาจีนคล้ายคลึงกับโคลงของไทยหรือเปล่าเช่น “ใครรานใครรุกด้าว แดนจีน” เป็นต้น

ฉันไปพบถนนเล็กๆสายหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เรียกว่า “เหมาไถลู่” ใช่ค่ะเหมาไถที่ดื่มแล้วตาเหล่น่ะค่ะ ถนนเหมาไถอยู่ใกล้ๆกับรีเจนท์ทาวเวอร์เดินเร็วๆประมาณห้านาทีก็ถึง บนถนนมีร้านเล็กๆตั้งอยู่เต็ม จะเอาอะไรมีขายทั้งนั้น เดินสำรวจอยู่หลายรอบจึงตัดสินใจว่าจะซื้อผลไม้จากเด็กสาวหน้าตารับแขกคนหนึ่ง “เม่เหมาะ” (น้องสาว) คนนี้ก็ให้บริการเป็นอันดี ทั้งๆที่พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องในตอนแรกๆตั้งแต่นั้นมาฉันก็เดินไปซื้อผลไม้ที่นั่นเป็นประจำ แม้ว่าจะมีร้านผลไม้อื่นๆอีกหลายแห่งที่จะซื้อได้สะดวกกว่าก็ตาม

อยากได้ผ้าหนานุ่มรองใต้ผ้าปูโต๊ะที่คนสวิสเรียกว่า “โมลต้อง” (Molton) แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ เข้าใจว่า “โมลต้อง” มีแต่คนสวิสเท่านั้นที่ใช้ ไม่เคยเห็นในประเทศอื่นนอกจากตามร้านอาหารหรูๆหรือว่าตามโรงแรมห้าดาว ในที่สุดเลยไปซื้อผ้าขาวเนื้อหนาธรรมดามาผืนหนึ่งวาดรูปวงกลมของโต๊ะกินข้าวแล้วเขียนรัศมีความกว้างลงไป ถือไปให้หญิงสาวจีนคนหนึ่งที่หมายตาไว้แล้ว

หญิงจีนผู้นี้เปิดแผงเล็กๆทำธุรกิจบนถนนเหมาไถ ในแผงมีผ้าลายน้ำเงินที่ชาวตะวันตกนิยมแขวนอยู่บนราวห้าหกผืน มีจักรเย็บผ้าโบราณอยู่หลังหนึ่ง หน้าร้านนอกจากมีหุ่นโชว์แล้ว ยังมีโต๊ะรีดผ้าอีกโต๊ะหนึ่งด้วยการรีดก็ใช้ไอน้ำธรรมดาๆ แต่ก็มีประสิทธิภาพฉมัง ฉันยื่นผ้าและรูปให้ดู บอกความต้องการของตนเองด้วยภาษาจีนกระท่อนกระแท่นจนเมื่อยมือไปหมด เจ้าหล่อนก็ยิ้มแสดงว่าเข้าใจแล้วก็หาม้ามาตัวหนึ่ง บอกให้นั่งรอนิดหน่อย “ตึ๋งอี้เชี่ย”

ในขณะที่หญิงเย็บผ้ากำลังประกอบวีรกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อนชาวบ้านร้านถิ่นที่อยู่ในละแวกนั้นก็ออกมารุมดูกันสลอน แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนานาเพราะไม่เคยเห็น เขาจะพูดกันอย่างไรบ้าง ฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องเข้าใจแต่ประโยคที่ว่า “คั่นอี้คั่น” ดูสิดูสิ คิดว่าเขาคงจะถกเถียงกันว่าฉันจะเอาผ้ากลมๆผืนนี้ไปทำอะไร บางคนถึงกับเข้ามาจับผ้าดู คงอยากจะให้แน่ใจว่าเป็นผ้าธรรมดาๆที่ “ไหวกั๋วเหยิน” ชาวต่างชาติเอามาให้เย็บ ไม่ใช่พรมวิเศษ รออยู่ไม่นานก็ได้ผ้ารองสมใจถามราคาเขาก็บอกถูกเหลือใจ เลยเพิ่มให้อีกนิดหน่อย ทำให้เขาดีใจมาก

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าฉันจะมีอะไรให้เย็บซ่อมแซม แม้แต่ซิปหรือกระดุม ก็จะเดินไปให้เขาทำให้เสมอจนคุ้นเคยกันดี

รู้สึกแปลกใจตนเองว่าไม่เคยรู้สึกรำคาญที่ถูก “จีนมุง” อยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะไปซื้ออะไรทำอะไร เพราะรู้ว่าเขามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจแบบเด็กๆ เนื่องด้วยประเทศเขาปิดตายมานาน ยิ่งอยู่เซี่ยงไฮ้นานเข้าความรู้สึกนี้กลายเป็นความผูกพันฉันมิตร ฉันทักทายผู้คนไปทั่ว เพราะต้องการ “ซ้อม” ภาษาจีนที่เรียกว่า แม้กระทั่งคนซ่อมรองเท้าข้างถนนก็จะวางมือจากการซ่อมรองเท้าคู่อื่นๆมาซ่อมให้ฉันก่อน ทั้งๆที่เขามีลูกค้าคนอื่นรออยู่แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครว่าหรือเดือดร้อนใจอะไร เขาสนุกเสียอีกที่ได้เห็นคนแปลกหน้านั่งรอด้วยความใจร้อน แล้วเฝ้าแต่ถามแล้วถามอีกว่า “เจี้ยวหวานละมา” จะเสร็จหรือยัง

ฉันเป็นคนชอบดอกไม้ โดยเฉพาะดอกกุหลาบสีเหลือง อยู่สวิสเคยมีสวนกุหลาบเล็กๆในสนาม ก็มักจะตัดดอกเอามาปักแจกันในบ้าน หรือตัดไปเป็นของขวัญเวลาได้รับเชิญไปไหน คนสวิสดีใจกับการได้รับของที่ทำด้วยน้ำมือของผู้ให้เอง แม้จะเป็นสิ่งละอันพันละน้อย มาอยู่เซี่ยงไฮ้เห็นดอกไม้ถูกกว่าที่สวิสหลายเท่าตัว ก็มักจะซื้อมาปักแจกันที่คอนโด อาทิตย์ละสองครั้งโดยมากเป็นดอกกุหลาบสีเหลืองที่มีกลิ่นหอมชื่นใจ

ติดกับคอนโดมีโบสถ์คาทอลิกเล็กๆแห่งหนึ่ง ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตว่าเป็นโบสถ์ เพราะเห็นแต่ดอกไม้วางขายอยู่เต็มบนเทอร์เรซ ครั้งแรกที่ไปซื้อมีหนุ่มชาวจีนสามคนแต่งชุดสากลสีน้ำเงินออกมาให้การต้อนรับ เลือกกุหลาบได้แล้วก็ถามว่าเท่าไหร่ พอเขาบอกราคามา ฉันก็แสดงละครเอามือทาบอกอุทานว่า “ไท้กุ้ย ไท้กุ้ย” แพงมากๆ เขาอมยิ้มถามว่าจะให้เท่าไรฉันก็ต่อราคาแบบครึ่งต่อครึ่งเขาก็ให้ คงจะรู้สึกสนุกที่โดนต่อราคาหั่นแหลกแบบนี้ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง จนกลายเป็น “เกม” สนุกของเรา

อยู่มาวันหนึ่ง เป็นเวลาเก้าโมงเช้า เดินไปซื้อดอกไม้ตามเคย เห็นแต่เพียงสองหนุ่มยืนอยู่หน้าร้าน บนเทอร์เรซไม่มีดอกไม้สักดอกเดียว ได้ความว่าลืมกุญแจเข้าห้องไม่ได้ เลยให้เพื่อนคนหนึ่งกลับไปเอา ฉันทำแกล้งเดินไปที่ประตูแล้วใช้กุญแจของตนเองพยายามไข พวกเขาหัวเราะชอบใจเห็นว่าตลกดี รออยู่สักห้านาทีก็ให้นามบัตรไว้บอกว่าหากได้กุญแจมาเมื่อไรให้โทร.ไปบอกด้วย จะได้ลงมาใหม่

อีกสักชั่วโมงต่อมาเขาก็โทร.มาบอกว่าได้กุญแจมาแล้ว ให้มาเอาดอกไม้ฉันก็ลงไปซื้อกุหลาบ ได้แล้วชำระเงินเตรียมตัวจะกลับ เขาก็ยื่นกระเช้าดอกไม้เล็กๆที่มีดอกไม้สวยให้หนึ่งกระเช้าบอกว่าขอบคุณที่อดทนรอซื้อดอกไม้จากเขา ไม่ไปซื้อที่ไหนเสียก่อน ฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเลิกต่อราคาในครั้งต่อไป

อีกวันหนึ่งเห็นม่านหน้าห้องด้านหลังปิด เดินไปเปิดม่านถามว่า “ปิดม่านทำไม” พวกเขาก็เอานิ้วชี้แนบที่ปากส่งเสียง “จุ๊” บอกให้ฉันเงียบๆเพราะในนั้นกำลังทำพิธี “มิสซา” ของชาวคาทอลิก ฉันจึงรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ขายดอกไม้อย่างเดียว แต่เป็นโบสถ์ด้วยคนหนึ่งถามว่า “คุณเป็นคาทอลิกหรือเปล่า” ฉันบอกว่าเป็นโปรเตสแตนต์เขาก็หัวเราะยกมือขึ้นโบกไล่ พร้อมกับร้องว่า “ชู่ ชู่” ไปให้พ้น ฉันหัวเราะจนปวดท้อง ด้วยท่าทางที่ตลกของเขา

ผลสุดท้ายเขาก็แนะนำตัวว่าชื่อไมเคิล ส่วนเพื่อนอีกสองคนชื่อโจเซฟและคริสโตเฟอร์ ฉันก็เลยแนะนำตัวเองบ้าง หันไปจับมือเขย่าโดยรอบ ไมเคิลพูดว่า “หวัวเหมินชื่อเพิ้งโหยว” เราเป็นเพื่อนกันนะ

ทำให้ฉันนึกถึงเด็กหญิงชาวจีนคนหนึ่งที่พบในปาร์ค แม่เขาส่งมาเป็นล่ามในสัปดาห์แรกที่ไปฝึก “มู่หลานฉวน” เด็กหญิงผู้นั้นพูดภาษาอังกฤษด้วยสำนวนที่น่ารักมาก รู้ได้ว่าท่องมาจากตำรา

“Let’s be friends, shall we?” ขอให้เรามาเป็นเพื่อนกันเถิดนะ เอาไหม

รู้สึกว่าเป็นสำนวนที่ชาวจีนมักจะใช้กันเมื่อต้องการผูกมิตร

ตั้งแต่นั้นมา เวลาไปซื้อดอกไม้ฉันก็ไม่เคยต่อราคาอีกเลย เขาเองก็สังเกตเห็น จึงมักจะเอาดอกไม้ที่สวยที่สุด ดีที่สุดมาให้ทุกครั้ง ตอนไปโฮมลีฟที่สวิสส่งโปสต์การ์ดไปให้ เขาก็เขียนตอบขอบใจมา ติดกระดาษสีแดงมีรูปแจกันสีทองปักดอกไม้ส่งมาให้ด้วยในจดหมายมีใจความว่าประเทศสวิสสวยมาก จนทำให้เขาอยากเห็นด้วยตาตนเอง พวกเขาคิดถึงฉันมาก และจะรอการกลับของฉันด้วยดอกกุหลาบเหลืองสวย อ่านแล้วน้ำตาคลอค่ะ

ระยะแรกที่มาอยู่เซี่ยงไฮ้ยังไม่รู้จักใครที่จะมาสอนภาษาจีน บังเอิญไปเห็นป้ายปิดประกาศที่ร้าน “เวลคัม” ว่าถ้าอยากเรียนภาษาจีนขอให้ติดต่อ…โทรศัพท์ไปได้ความว่า คนที่จะสอนจบมหาวิทยาลัย เคยทำงานเป็นเลขานุการแต่ลาออกเพราะอยากสอนภาษาจีนให้กับชาวต่างชาติ ได้เงินดี หล่อนยังไม่เคยมีประสบการณ์ ฉันเห็นว่าน่าจะลองให้โอกาสดูสักครั้ง

หล่อนเล่ามาทางโทรศัพท์ว่าเพื่อนๆบอกว่าหล่อนมีพรมสวรรค์ในการสอน ฉันจึงให้มาสอนอาทิตย์ละครั้งที่รีเจนท์ทาวเวอร์ในวันพฤหัสบดี เตือนหล่อนให้รู้ตัวล่วงหน้าว่า ฉันเป็นนักเรียนที่ค่อนข้างจะจุกจิก อยากรู้อะไรแล้วจะซักถามจนได้คำตอบที่พอใจ

แอนน์เป็นหญิงร่างเล็ก เดาอายุว่าคงจะอยู่ในราวปลายยี่สิบ ฉันควรจะรู้แต่แรกแล้วว่าจะไปกันไม่ได้ มาวันแรกหล่อนก็เริ่มบ่นเรื่องที่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซักถามว่ามาทำไมมาหาใคร พอเข้ามาแล้วรีเซ็ปชั่นก็ให้เซ็นชื่อลงในสมุด เคยบอกเขาไว้แล้วล่วงหน้า ที่นี่การรักษาความปลอดภัยค่อนข้างจะเข้มงวด แต่ติดว่าหล่อนไม่ได้ฟังฉันพูดเลย มาครั้งใดก็บ่นทุกครั้ง

เรื่องนี้ก็พอทำเนา แต่การที่แอนน์พร่ำให้ฉันทำเสียงสูงเสียงต่ำ “ก๊า ก๋า…ก๋ะ ก้ะ” ย้ำแล้วย้ำอีก นี่สิทำให้ทนไม่ได้ หล่อนทำเหมือนฉันเป็นเด็กในชั้นเรียน จำต้องจับตัวมานั่งท่องไม้เอกไม้โท ทั้งๆที่หล่อนก็รู้ว่าฉันออกเสียงต่างๆเหล่านี้ได้ดี พอถามอะไรเข้า หล่อนก็ทำเหมือนว่าฉันกำลังจะด่า ต้องขยายขนเม่นออกมาทันทีอาจจะเป็นเพราะภาษาอังกฤษของหล่อนไม่ดีพอก็ได้ มีคำออกเสียงภาษาจีนบางคำที่ฉันออกเสียงไม่ได้ หล่อนก็พยายามจะให้ฉันออกเสียงให้ได้

เลยบอกไปว่า ฉันอายุมากแล้วจะออกเสียงให้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์คงจะไม่ได้ ลิ้นมันไม่ไป เอาพอใช้ได้ฟังรู้เรื่องก็แล้วกัน อดไม่ได้เลยเหน็บไปว่า ดูแต่หล่อนสิ เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งกี่ปียังออกเสียงหลายคำไม่ชัดเลย เล่นเอาหล่อนหน้าเสีย

เคยจดประโยคที่คนจีนในปาร์คพูดกันใส่สมุดมาถาม เช่นคำว่า “อี้ลู่” บทที่หนึ่ง หล่อนก็ไม่เข้าใจ จะแกล้งเป็นว่าฉันออกเสียงไม่ถูกหรือเปล่าไม่ทราบ ฉันเดือดขึ้นมาเลยถามว่า “เธอจบมหาวิทยาลัยมาจริงๆหรือ แม้แต่ภาษาเซี่ยงไฮ้ก็ไม่เข้าใจ” ต่อจากนั้นฉันให้มาสอนอีกครั้งหนึ่ง แล้วบอกไปว่า อาทิตย์ต่อไปไม่ต้องมาอีกแล้วเพราะเราไม่เข้าใจกัน “We are not compatible”

แอนน์ตกใจถามว่า หล่อนสอนไม่ดีใช่ไหม บอกไปว่าอาจจะดีสำหรับคนอื่น แต่สำหรับฉัน ขอให้เราจากกันเถิด เพราะหล่อนให้ “deliver” ในสิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้

ต่อมาอีกไม่นานฉันก็ได้ครูใหม่ที่เป็นครูที่เก่งคนหนึ่ง โจนาธานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ แต่จะลาออกหรือยังไม่ทราบ เพราะการไปสอนส่วนตัวที่บ้านชาวต่างชาติทำเงินให้มากกว่าสอนที่มหาวิทยาลัย

ชาวจีนธรรมดาโดยทั่วไปเป็นคนน่ารักอย่างที่เล่ามาแล้ว แต่ก็มีหญิงชาวจีนเช่นแอนน์ที่สอนภาษาจีนเพื่อจะได้มีโอกาสรู้จักกับคนต่างชาติโดยเฉพาะเพศชาย ด้วยหวังว่าวันหนึ่งอาจจะได้พบรักแต่งงานกับฝรั่งเพื่อชีวิตที่ดีกว่าจับพลัดจับผลูจะได้ออกจากเมืองจีนไปอยู่ต่างประเทศ

ที่เซี่ยงไฮ้มีหญิงสาวจีนอายุน้อยสวยๆหลายคนเดินควงกับฝรั่งแก่คราวปู่หรือคราวพ่ออยู่บ่อยๆ เตือนวอลเตอร์ทีเล่นทีจริงว่า “อย่าคิดนะว่าพวกหล่อนติดใจ ‘ของ’ ที่ติดอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง หล่อนอยากมีชีวิตที่ดีกว่าต่างหาก” สามีหาว่าฉัน “พูดสกปรก”

ฉันรู้จักแซนดร้าด้วยการแนะนำของเมเบิ้ล เธอและสามีเป็นอเมริกันแต่งงานมาได้สามสิบปีแล้ว มีลูกชายอายุยี่สิบแปดคนหนึ่งอยู่อเมริกา เขาทั้งสองพักอยู่ที่รีเจนท์ทาวเวอร์เช่นเดียวกับเรา คบหากันได้ระยะหนึ่งแซนดร้าก็บอกว่า อีกไม่ช้าเธอต้องกลับอเมริกาแล้ว

ซักไปซักมาเธอก็ร้องไห้เล่าให้ฟังว่าเดวิดสามีไปติดผู้หญิงชาวจีนอายุคราวลูก เดวิดไปอยู่เซี่ยงไฮ้ก่อนแซนดร้าสี่ห้าเดือน ไปอยู่ได้ไม่นานเขาก็บอกให้แซนดร้าขายบ้านที่อเมริกาเสีย จะได้ไม่เป็นภาระยามอยู่ต่างแดน

แซนดร้าจัดการธุระเสร็จแล้วก็ตามไป อยู่ได้สักสิงเดือนเธอก็มีธุระต้องกลับอเมริกา พอกลับเซี่ยงไฮ้อีกทีเดวิดก็บอกว่า เขาต้องการหย่า เพราะมีผู้หญิงคนใหม่ แซนดร้าบอกเขาว่าขอให้ลืมเรื่องนี้เสียให้หมด แล้วมาตั้งต้นกันใหม่ แต่เดวิดก็ไม่ยอม

ในที่สุดเธอต้องเก็บกระเป๋ากลับอเมริกา มีฉันและเมเบิ้ลไปส่งที่สนามบินเธอร้องไห้จนหูตาบวม ที่ใครๆเห็นว่าเป็นสิ่งเลวชั่วชาติที่สุดก็คือเดวิดให้เธอขายบ้านทั้งๆที่รู้ว่าจะขอหย่า แซนดร้ากลับอเมริกาโดยไม่มีบ้านอยู่ พอเธอไปแล้วสักสองสามวัน เดวิดก็พาผู้หญิงคนใหม่มาอยู่ด้วยที่รีเจนท์ทาวเวอร์ เราก็ได้แต่ภาวนาให้แซนดร้าหาทนายความที่ดีที่สุดบีบเอาทุกดอลลาร์ทุกเซ็นต์จากไอ้มนุษย์เลวชาติตัวนี้ให้ได้

เมเบิ้ลและเวนสามีเคยผูกมิตรกับหญิงสาวชาวจีนผู้หนึ่ง เพราะต้องการรู้จักชาวเมืองที่พูดอังกฤษได้ เขามักจะชวนหญิงคนนี้ไปกินดื่มด้วยเสมอตอนเมเบิ้ลไปอเมริกา ทิ้งให้เวนอยู่บ้านตามลำพัง กลับมาไปเช็คสมุด “เยี่ยม” ดูปรากฏว่าอียายคนนี้มาหาเวนถึงบ้าน

เมเบิ้ลไม่กระโตกกระตากให้เวนระแคะระคายว่าเธอรู้ แต่ก็ไม่เคยออกปากชวนผู้หญิงคนนี้ให้ไปไหนด้วยอีกเลย แต่ไม่ว่าเมเบิ้ลและเวนจะไปไหนในตอนเย็นวันศุกร์ จะต้องมีผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นั่นโดย “บังเอิญ” เสมอ หล่อนแสร้งทำเป็นไม่เห็นเมเบิ้ล เมเบิ้ลเองก็ไม่แสดงอะไรออกมานอกหน้า ได้แต่รอคอยจังหวะ

อีกไม่ช้าเธอก็พบหญิงผู้นี้ในห้องน้ำตัวต่อตัว หล่อนบอกเมเบิ้ลว่าอีกไม่นานหล่อนจะไปดูงานเมืองนอกแล้ว เมเบิ้ลก็ตอบไปว่า ยังไม่เร็วพอสำหรับเธอ เพราะไม่ต้องการเห็นหน้าหล่อนอีก หากหล่อนกลับจากนอกเมื่อไร และเธอจับได้ว่าแอบไปหาเวนที่บ้านอีก

“ฉันจะฉีกขาชั่วช้าของเธอออกเสียทั้งสองข้าง” (I’m going to break both you f…ing legs.)

วิธีที่เมเบิ้ลเล่าด้วยสำเนียงที่ยานคางของเธอทำให้ฉันหัวเราะจนท้องแข็ง

เธอบอกว่า เวนอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อนเหลา เขาอาจจะมีพุงยื่นออกมาบ้าง แต่ก็เป็นสามีที่เธอรัก และเขาเป็นสิ่งเดียวที่เธอมีอยู่ไม่ต้องการให้ใครมาแย่งไป