ประเพณีเผาผีของชาวซูริค

ไม่ทราบว่าใครเป็นคนให้สมญาชาวเมืองซูริคว่า “โนมส์ออฟซูริค” แปลเป็นไทยง่ายๆว่า “ปีศาจผู้เฝ้าทรัพย์สมบัติอยู่ใต้ดินแห่งเมืองซูริค” อะไรจะขนาดนั้น

สันนิษฐาน กันว่าชื่อนี้อาจมีกำเนิดมาตั้งแต่สมัยโบราณก็เป็นได้โดยเหตุที่ซูริคเป็นบ้านเกิดของ “อูลริชซวิ่งลี่” ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงและตัวตั้งตัวตีอันก่อให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาขึ้นในแถบนี้ของประเทศสวิสระหว่างศตวรรษที่ 16 จากนิกายคาทอลิกเป็นโปรเตสแตนต์ เขาประกาศชักชวนให้ชาวสวิสละเลิกความเชื่อในศาสนาดั้งเดิม และเปลี่ยนความฝังใจที่ติดแน่นอยู่เสียใหม่ การกระทำของเขาก่อให้เกิดความปั่นป่วนจนเกิดสงครามศาสนาย่อยๆกลางเมือง ตัวเขาเองถูกฆ่าตายในสงคราม “คัปเปิ้ล” และพรรคพวกที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือก็ถูกโจมตียับเยินในสงครามครั้งนี้โดยปรปักษ์ชาวคาทอลิก

แน่นอน เมื่อมนุษย์ตั้งตัวเป็นศัตรูกัน ไม่ว่าจะเป็นในสมัยปัจจุบันหรือในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือกินเมือง หรือพวกเคร่งศาสนาต่างก็พยายามสาดโคลนสาดอึเข้าใส่กันทั้งนั้นแหละ แต่ละฝ่ายต่างก็พยายามหาชื่อประหลาดๆมาตั้งให้คู่ต่อสู้เจ็บใจเล่นฉันจึงเดาว่าชาวคาทอลิกที่หัวรุนแรงในสมัยโบราณคงจะตั้งสมญา “โนมส์ออฟซูริค” ให้กับชาวเมืองนี้เป็นแน่แท้

ฉันมักจะอธิบายให้แขกต่างประเทศของฉันฟังเสมอว่า ชาวสวิสนับถือศาสนาที่สำคัญๆอยู่สองศาสนา คือ คาทอลิก (46 เปอร์เซ็นต์) และโปรเตสแตนต์ (42 เปอร์เซ็นต์) ที่เหลืออีก 12 เปอร์เซ็นต์เป็นศาสนาอื่นๆ แต่ในส่วนลึกของหัวใจกระซิบให้คุณผู้อ่านฟังแล้วอย่าได้ไปกระโตกกระตากเล่าต่อให้ใครฟังเป็นอันขาดเทียวนะคะ ขืนเก็บเอาไปเล่าแล้วทำให้ฉันเดือดร้อน ฉันจะสาบานว่าไม่ได้พูด เอ๊ย เขียน คือยังงี้ค่ะ ฉันคิดว่าศาสนาที่แท้จริงของชาวสวิสคือ “การทำธนาคาร” เป็นสรณะกันทั้งนั้นแหละหรือคุณผู้อ่านจะคิดว่าไม่จริง

ว่ากันว่า ประเทศสวิสมีธนาคารมากกว่าหมอทำฟันเสียอีก เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจของประชาชนในประเทศโดยทั่วไปเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ จึงมี “สุขภาพ” ดีกว่าสุขภาพฟันของพลเมืองในชาติ (ง) ทางด้านธนาคารแล้ว ประเทศสวิสยังเป็นประเทศที่ผลิตช็อกโกแลตที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลก ใครบ้างไม่รู้จัก “ซูชาร์ด” หรือ “โทเบลอโรน” พวกเขารู้จักช็อกโกแลตของสวิสพอๆกับที่รู้จัก “เบอร์ลับในธนาคาร” นั่นแหละก็เมื่อมีธนาคารมากกว่าหมอฟัน จะหวังในสุขภาพฟันของชาวสวิสดีเหมือนสุขภาพเศรษฐกิจของธนาคารได้อย่างไร

ชาวสวิสสวาปามช็อกโกแลตเข้าไปไม่รู้ว่าคนละกี่กิโลต่อปี เขาทำสถิติไว้เหมือนกัน แต่ฉันจำไม่ได้แล้วค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว นั่งขดตัวอบอุ่นอยู่ในห้องนั่งเล่นหน้าเตาผิง อ่านหนังสือ ฟังเพลง ถ้าใครบอกว่าไม่ดริ๊งค์หรือกินช็อกดกแลต หรือของขบเคี้ยวเช่นมันฝรั่งทอดหรือถั่วลิสงอบ ฉันว่าคนนั้นโกหกบรม ผู้เขียนเองก็ไม่ย่อยค่ะเพราะฉะนั้นน้ำหนักจึงขึ้นเอาๆ จนร่างสูงโปร่งผอมบางแบบ “ทวิกกี้” จะกลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท “ไมค์ ไทสัน” อยู่รอมมะร่อแล้ว

ต้องขอสารภาพว่า ฉันเองไม่ค่อยจะพิศมัยนายธนาคารชาวสวิสเท่าใดนักอันที่จริงนายธนาคารชาติไหนๆฉันก็ไม่พิศมัยทั้งนั้นแหละ ฉันคิดว่าพวกนายธนาคารก็คงจะไม่สู้พิศมัยฉันเหมือนกันก็ฉันไม่มี “เบอร์ธนาคารลับ” นี่คะ แถมยังเป็นหนี้พวกเขาอีกต่างหาก

พี่ชายคนหนึ่งของวอลเตอร์เป็นนายธนาคารเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้เกษียณแล้ว ที่เรายังรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกันดีอยู่ก็เพราะฟรานซ์รักเมืองไทยและโปรดปรานอาหารไทยเป็นพิเศษ เคยไปเที่ยวเมืองไทยมาตั้งสิบกว่าครั้งแล้ว เวลาไปภูเก็ต น้องสะใภ้ตำน้ำพริกหรือที่คนปักษ์ใต้เรียกน้ำชุบให้กิน ก็กินหน้าตาเฉย ไม่รู้ว่าที่กินเข้าไปน่ะเพราะกลัวฉันจะเข็ดไม่ยอมพาไปเที่ยวด้วยอีกหรือเปล่า

วันหนึ่งเห็นฟรานซ์นั่งอ่านอะไรอยู่ในสนามอย่างสำราญใจ หน้าตาเบิกบานมีความสุข ตอนแรกมองแต่ไกลฉันก็นึกว่าเขาอ่านหนังสือแมกกาซีนอะไรสักอย่าง อาจจะกำลังอ่าน “เพนท์เฮ้าส์” หรือ “เพลย์บอย” ก็ได้ เพราะดูมีความสุขเหลือเกิน แถมยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอีกในบางครั้ง แน่นอน พี่ชายคนโปรดคนนี้ต้องกำลังอ่าน “เดอร์ตี้แมกกาซีน” แหงๆแต่คิดไปอีกทีก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ ฟรานซ์น่าแสนจะไม่ “เอาไหน” ไม่งั้นจะอยู่เป็นโสดมาจนเกษียณรึ เขาแสนจะคร่ำครึและเคร่งขรึมเป็นที่เกรงอกเกรงใจของลูกน้องทุกคน แถมยังไม่ค่อยจะพูดจะจา ยังกะกลัวว่าดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากอย่างนั้นแหละ

ฉันทนไม่ไหว แอบย่องเข้าไปดูใกล้ๆก่อนที่เขาจะทันเห็นฉันและซ่อนหนังสือที่อยู่ในมือเสีย พอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเขา ฉันต้องผงะออกมาด้วยความพิศวงสุดขีดว่าเขามีความสุขได้อย่างไรต่อสิ่งที่เขากำลังอ่านอยู่ อพิโธ่ก็สิ่งนั้นหาใช่แมกกาซีนที่ฉันเข้าใจไม่แต่เป็นบัญชีงบดุลของธนาคารต่างหากเล่า เฮ้อ…ความพิศวงกลับกลายเป็นความอิจฉาขึ้นในบัดดล เขาบังอาจอย่างไรจึงมีความสุขแบบสุดยอดกับการอ่านตัวเลขที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายเช่นนั้น เหมือนคนที่กำลังอ่านหนังสือปลุกใจเสือป่าฉันใดก็ฉันนั้น ฉันเองเสียอีก อย่าว่าแต่จะอ่านงบดุลให้ได้ร่าเริงอย่างเขาเลย แม้แต่จะพยายามอ่านให้เข้าใจก็คงจะยาก แหม…ก็ฉันน่ะเรียนเลขตกเป็นประจำมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ค่ะ Once a banker always a banker. ยิ่งนายแบงก์สวิสด้วยแล้วอย่าให้เซดเลย ไม่ต้องหลับนอนกับเมียเป็นเดือนๆก็ยังไหว ดูแต่ตัวเลขงบดุลก็ถึงจุด “ไคลแม็กซ์” แล้วจ้า

ซูริค ตั้งอยู่บนปลายฝั่งทะเลสาบชื่อเดียวกัน มีแม่น้ำ “ลิมมัท” ไหลผ่านไปลงที่ทะเลสาบแห่งนี้ ซูริคเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุดในประเทศ แม้ว่าจะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ซูริคก็เป็นศูนย์กลางแห่งเศรษฐกิจของประเทศสำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งชาติตั้งอยู่ที่นี่ ถ้านั่งรถผ่านไปตามถนนหนทางจะแลเห็นตึกเก่าโทรมไม่น่าดูอยู่หลายแห่งอันเป็นแฟลตที่พำนักของชน “ชั้นกลาง” แบบล่างๆ แหล่งที่อยู่อาศัยที่จัดว่าเยี่ยมยอดอยู่บนเนินเขาที่เรียกกันว่า “ซูริคเอบิร์ก” ทีนา เทิร์นเนอร์ นักร้องผิวกาแฟใส่นม แถมเซ็กซี่อีกต่างหาก ก็มีคฤหาสน์อยู่ในแถบนี้ด้วย ถ้าฉันจำไม่ผิด

ในขณะที่ชาวเมืองลูเซิร์นปล่อยผีกันปีละหนเพื่อไล่ความหนาวเหน็บแห่งวสันตฤดูในระหว่างเทศกาล “ฟาสนาคท์” งานเฉลิมฉลองคาร์นิวัลที่ชาวเมืองแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเสื้อผ้าหลากหลาย มีหน้ากากสวมปิดบังตัวตนที่แท้จริง โดยแห่แหนกันไปรอบเมืองถึงสามวันสามคืนดังที่ฉันเคยเล่าให้ฟังแล้วใน “จดหมายจากลูเซิร์น” ชาวซูริคก็ต้องมีเทศกาลเผาผีบ้างจะได้ไม่น้อยหน้ากัน ทุกๆปีในวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนเมษายน ชาวเมืองซูริคจะจัดงานที่ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี คือ เทศกาล “Zurcher Secherlaeuten” พยาพยามออกเสียงเป็นภาษาไทยได้ว่า “ซัวร์เคอร์เซ็คเซลลอยเทน” แต่ต่อไปนี้ฉันจะเรียกง่ายๆ ว่าเทศกาลก็แล้วกันนะคะ

ปีนี้เทศกาลเผาผีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน ด้วยการเดินขบวนพาเหรดของเด็กๆ ตามติดด้วยวันจันทร์ที่ 15 ในวันสำคัญนี้ ชาวเมืองซูริคเปลี่ยนโฉมจากมาดของนายธนาคารผู้เคร่งขรึม ใส่สูทผูกเน็คไท ใส่รองเท้าดำเป็นเงาปลาบ ไปซ่อนรูปอยู่ในเสื้อผ้าแห่งศตวรรษในกาลก่อน แต่ละชุดมีสีสันแจ่มใส ฉูดฉาดบาดตา ดูแล้วหาคราบของนายธนาคารไม่พบเลยแม้แต่เงาในวันนี้แหละที่ “โนมส์แห่งซูริค” ได้มีโอกาสออกจากใต้ดินที่เฝ้าสมบัติอยู่มาแสดงตนให้ชาวโลกได้เห็นเป็นขวัญตา

ในวันจันทร์ที่กล่าวถึง อากาศดีอย่างไม่น่าเชื่อ พระอาทิตย์ทอแสงแจ่มใสมาตั้งแต่เช้า มีแต่ลมเย็นที่ชาวสวิสเรียกว่า “บีเซ่” เท่านั้นที่พัดมาจนทำให้หนาวจนขนลุกเกรียวถ้าหากยืนอยู่ในที่ร่ม ยิ่งบนถนนบาห์นโฮฟด้วยแล้วยิ่งเป็นพิเศษ เพราะเป็นถนนแคบๆเรียงรายด้วยอาคารร้านรวงอยู่สองฝั่งกลางถนนจัดให้รถรางวิ่งขนานคู่กันไปโดยปกติถนนสายนี้จะคึกคักอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุว่าเป็นถิ่นช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีไว้เอาใจพวกเศรษฐีค้าอาวุธกระเป๋าหนักให้ได้ช็อปกันให้ชุ่มปอดสมใจพระเดชพระคุณเพราะข้าวของที่นี่แพงเหลือใจ เศรษฐีที่ต้องทำงานหนักตะเกียกตะกายหาเงินหาทองเอาไว้กินไว้ใช้เมื่อยามแก่เช่นคนธรรมดาอื่นๆ คงจะต้องคิดหนักกว่าจะควักเงินออกจากกระเป๋าได้ เพราะมันหายาก ถ้าอึออกมาแล้วเป็นเงินได้ก็จะดีแม้แต่เราผู้ใช้เงิน ฟรังก์สวิส ดูราคาของแล้วบางทียังสะดุ้ง แต่ถ้าใครไม่สะดุ้งก็แล้วไปเถอะ ไม่ว่ากัน

ในวันจันทร์ที่กล่าวถึงนี้ ถนนบาห์นโฮฟปิด ห้ามรถรางผ่าน และถนนสายอื่นๆในใจกลางเมืองก็ห้ามยวดยานทุกชนิดผ่านด้วย เนื่องจากจะมีขบวนพาเหรดเดินผ่านไป ขบวนพาเหรดเหล่านี้จัดขึ้นโดยสมาชิกของสมาพันธ์สโมสร และสมาคมต่างๆเช่นเดียวกับ “ฟาสนาคท์” ของลูเซิร์น แต่ละสมาคมพยายามที่จะทำให้ขบวนแห่ของตนมีเสน่ห์ มีสีสัน เป็นที่ติดอกติดใจของผู้ชมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อเป็นที่ถูกอกถูกใจก็จะได้รับการปรบมืออย่างเกรียวกราวจากผู้ชมที่แออัดยืนชมขบวนอยู่ริมฝั่งถนนทั้งสองข้าง

มีคนขายดอกไม้สวยๆอยู่ทั่วไปเพราะเป็นธรรมเนียมสำหรับผู้ชมที่จะซื้อดอกไม้ยื่นให้กับผู้เดินขบวนที่รู้จักเป็นเพื่อนฝูงกัน หรือไม่ก็ให้กับบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านการเมือง หรือในด้านใดด้านหนึ่ง ในวันนั้นถ้าใครเห็นสุภาพบุรุษถือช่อดอกไม้กันเป็นแถวละก็ อย่าได้นึกว่าได้กลายเป็น “ตุ๊ด” ไปแล้ว ปีหนึ่งก็มีวันนี้แหละที่เขาจะได้รับช่อดอกไม้จากผู้หญิง ใครจะจำไปใช้บ้างก็ไม่ว่ากัน

ปีนี้มีพิเศษอยู่นิดหนึ่ง ตรงที่ชาวซูริคได้เชิญสมาคมหลายสมาคมทางแถบที่พูดภาษาฝรั่งเศสมาร่วมขบวนด้วย เหตุผลง่ายๆคือ อยากจะเอาใจเพื่อนร่วมชาติชาวโรมองด์สักครั้ง เพื่อกำจัดช่องว่างที่ชาวสวิสเยอรมันเรียกว่า “Roeschti-Graben” ให้แคบลง เพราะความเข้าอกเขาใจอันดีต่อกันของคนในชาติที่พูดกันคนละภาษาค่อยๆ เหลือน้อยเข้าทุกที จนใครๆเกรงว่าจะถึงจุดร้าวที่จะประสานกันไม่ได้อีกต่อไป

Graben แปลว่า ช่องว่าง และ Roeschti เป็นอาหารมันฝรั่งที่นิยมรับประทานกันในหมู่ชาวสวิสเยอรมันอาหารจานนี้เคยเล่าให้ฟังแล้วค่ะในตอน “อดขนมปังดอกนะเจ้าชีวิตวาย” Roeschti-Graben จึงเป็นคำพังเพยที่หมายถึงช่องว่างระหว่างชาวสวิสเยอรมันและชาวสวิสโรมองด์ หรือชาวสวิสฝรั่งเศสนั่นเอง

ขณะนี้มีอีกเรื่องหนึ่งเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆจนเป็นที่ฮือฮากันทั่วประเทศและสร้างความน้อยอกน้อยใจเสียใจให้กับชาวสวิสฝรั่งเศสมาก ก็คือ สายการบินสวิสแอร์ตัดสินใจยกเลิกไม่ไปขึ้นและลงเครื่องบินระหว่างชาติที่สนามบินในเจนีวา โดยอ้างว่าสวิสแอร์จำเป็นต้องรัดเข็มขัดและประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้สายการบินอยู่รอด ไม่ขาดทุนจนเกินไปเพราะการขึ้นและลงเครื่องบินแต่ละครั้งต้องเสียค่าใช่จ่ายมาก ไม่คุ้ม เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้โดยสารที่ใช้สนามบินเจนีวาและสนามบินซูริค

โดยส่วนตัวฉันก็เห็นใจพวกชาวโรมองด์อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อมาคิดในเรื่องเศรษฐกิจ ฉันก็ว่าสวิสแอร์ตัดสินใจถูกต้องแล้ว ในประเทศเล็กๆเช่นประเทศสวิสการมีสนามบินระหว่างชาติใหญ่ๆถึงสองแห่งเป็นความสิ้นเปลืองที่น่าจะตัดออกไปได้ แต่อย่างว่า คนสวิสสปอยล์กับความสมบูรณ์พูนสุขมาเนิ่นนานอยู่ๆ จำจะต้องสละความสุขสบายที่เคยชินไป เขาก็ถือว่ามันเป็นความลำบากยากแค้นที่คนที่ไม่เคยมีอะไรมาก่อนเลยมักจะมองข้ามไป และจะไม่ถือเป็นปัญหาหรือเรื่องใหญ่

สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ใช้ประชาธิปไตยโดยตรง คือ Direct Democracy ก่อนที่จะมีการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆซึ่งเกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศ ประชาชนจะได้รับเชิญให้ไปออกเสียงลงมติ มาในระยะสี่ห้าปีนี้ การลงมติในเรื่องต่างๆของชาวสวิสเยอรมันและชาวโรมองด์จะแตกต่างกันมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยเฉพาะในเรื่องการลงมติเข้าร่วมเป็นสมาชิกแห่งสมาพันธ์ยุโรปในด้านเศรษฐกิจ (European Economic Community) หรือที่เรียกย่อๆว่า EEC ชาวโรมองด์ลงเสียง oui แต่ชาวสวิสเยอรมันลงมติว่า nay นักธุรกิจชาวโรมองด์คนหนึ่งถึงกับร้องไห้โฮท่ามกลางชุมชนอย่างไม่อายสายตาของใครเมื่อรู้ผล

ขบวน พาเหรดที่รวมสมาชิกของสมาคมที่ฉลององค์ทรงเครื่องขี่ม้าเทศตัวใหญ่ถึง 350 ตัว รวมทั้งที่เป็นวงดนตรีดุริยางค์และเดินเฉยๆ ต่างก็มุ่งหน้าไปยังลานใหญ่ใกล้ทะเลสาบเพื่อฉลองเทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ โดยร่วมเดินขบวนกันไปเพื่อเผาเจ้าผีปีศาจแห่งฤดูหนาวเสียให้สิ้นซาก ผีตัวนี้ก็น่าเผาจริงๆ เพราะมีชื่อเสียงที่ฟังดูยากมากสำหรับคนต่างชาติ คือ เจ้า “Boog” (เบอ-อก) ชาวเมืองได้สร้างเจ้าปีศาจนี้ไว้ล่างหน้าแล้ว เป็นรูปตุ๊กตาตัวใหญ่สีขาว ทำด้วยสำลีและฟาง สูงเกือบสามเมตรครึ่ง และหนักถึงแปดสิบกิโลภายในร่างบรรจุด้วยไฟร์แคร็กเกอร์จนเพียบ ไอ้ผีตัวนี้ถูกสร้างให้ยืนโดดเด่นอยู่บนกองไม้แห้งที่ชาวเมืองตัดมาจากป่าในบริเวณเมืองซูริค มาเก็บเอาไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว

พอนาฬิกาของโบสถ์ที่อยู่ใกล้เคียง ตีบอกเวลา 18 นาฬิกาตรง ขบวนพาเหรดบนหลังม้าในชุดขาวและน้ำเงินอันสง่างามที่มีชื่อเดียวกันกับเทศกาลก็จะควบม้าล้อมวงเจ้าปีศาจนี้ไว้ แล้วเริ่มจุดไฟแหย่ไปที่กองไม้ที่อยู่ข้างใต้ให้ลุกโชติช่วง เมื่อไฟลุกโหมขึ้นก็จะลามขึ้นไปเผาตุ๊กตาที่มีไฟร์แคร็กเกอร์อัดแน่นทำให้ระเบิดขึ้น

เชื่อกันว่ายิ่งเจ้าปีศาจถูกพระเพลิงไหม้ได้รวดเร็วเท่าใด ก็แปลว่าจะมีฤดูร้อนอันอบอุ่นยาวนานเป็นที่พออกพอใจในปีนี้ใช้เวลาเพียง 8 นาที 18 วินาที เท่านั้น เจ้าผีเบอ – อกก็ไหม้เป็นจุลเพราะดินฟ้าอากาศในวันนั้นเป็นใจกับมนุษย์ ไม่ได้เข้าข้างผีเหมือนเช่นในบางปีที่ฝนตก หิมะ และอากาศมืดครึ้มเป็นใจกับปีศาจ ทำให้ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะเผาเจ้าผีปีศาจ ทำให้ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะเผาเจ้าผีให้ไหม้ลงเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอันอื้ออึงของผู้คน

ดูไปแล้วทำให้นึกเชิงตะกอนที่ใช้เป็นที่เผาพวกนอกรีตในศตวรรษก่อนๆ จะเป็นในสมัยใด โดยเนื้อแท้แล้วมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนสันดานดิบในห้วงหัวใจเท่าใดเลย