ดินแดนของกษัตริย์เจงกิสข่าน ตอนที่ 2

ค่าย ‘คานโบกาด Khan Bogd’ ที่คณะจากเซี่ยงไฮ้จะไปพักจากสนามบินไปยี่สิบสองกิโลเมตรชื่อของค่ายติดหราอยู่ที่ทางเข้าประตู ทันทีที่ไปถึงชาวคณะก็จัดการถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมภายในบริเวณค่ายมี ‘เกอร์’ อยู่หลายหลัง แต่ละหลังห่างกันประมาณห้าเมตร และมีป้ายเลขบอกติดไว้กันหลง เพราะเกอร์ทุกหลังมีลักษณะเหมือนกันหมด ฮันส์และเพ็ญได้ถูกให้จัดอยู่ในเกอร์เบอร์หนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากห้องน้ำห้องส้วมที่ใช้ร่วมกันออกไปประมาณเดินสองสามนาที

campinside-ger“แหม เกอร์นี่น่าสบายจังเลย” เพ็ญตื่นเต้น “หอมต้นไพน์ด้วย คงจะมาจากไม้ที่ทำเฟอร์นิเจอร์ในวันนี่เอง โอ้โฮ เตียงนี่ก็น่านอนดี’ พูดแล้วก็โถมตัวลงไปบนเตียงที่ปูด้วยผ้าขาวสะอาดมีผ้าเช็ดตัวสีขาวพับวางอย่างเรียบร้อย

“คุณจะเลือกนอนเตียงไหนก็ได้นะคะฮันส์ มีตั้งสามเตียง”

เพ็ญใจดีให้สามีเลือก หลังจากที่ตนเองได้เลือกเตียงที่ถูกใจเอาไว้เรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะกลางห้องมีโต๊ะและม้านั่งเตี้ยๆ สองตัว มีเทียนไขปักอยู่ในที่วางทำด้วยกระเบื้องเซรามิค ฮันส์เดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกที่แขวนอยู่บนฝาผนัง ถอดเสื้อแจ๊คเก็ต แขวนบนไม้แขวนข้างฝา ภายในห้องมีดวงไฟดวงเดียวที่เป็นลักษณ์ของความ ‘ทันสมัย’ แสงแดดลอดลงมาจากช่องที่เจาะไว้บนหลังคากระโจม

“ถ้ากลางคืนหนาวผมจะจุดเตาผิงนะ ถึงจะต้องติดด้วยถ่านเหม็นๆนี่ก็ยังดี” ฮันส์พึงใจกับเตาผิงกลางกระโจม

“เราออกไปสำรวจบริเวณค่ายกันหน่อยไหม?” ฮันส์ชวนหลังจากที่ได้เอาข้าวของเก็บเข้าที่แล้ว

“ไปสิคะ ยังมีเวลาอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาอาหารกลางวัน”

ว่าแล้วทั้งคู่ก็ชวนกันออกไปข้างนอก เบ็ตตี้และแจ๊คสามีเดินออกมาจากเกอร์ของเขาพอดี

“เราอยู่เกอร์ติดกันนี่เอง” แจ๊คบอก “คุณรู้ไหมว่าเขาสร้างเกอร์กันอย่างไร?” แจ๊คหันมาถามเพ็ญ ซึ่งชาวต่างชาติที่อยู่เซี่ยงไฮ้รู้ว่าเป็นนักเขียนและมักจะรู้เรื่องสัพเพเหระมากกว่าใคร

“รู้นิดหน่อยค่ะ” เพ็ญตอบอย่างถ่อมตัว “เกอร์นี่พับเก็บได้นะคะ แถวยังเบาอีกต่างหาก พวกที่ร่อนเร่อยู่ในทะเลทรายมักจะบรรทุกมันไปบนหลังอูฐเวลาเดินทาง แต่เดี๋ยวนี้เขาใช้รถบรรทุกกันก็มี เปลี่ยนไปตามสมัย”

“แล้วทำจากอะไรล่ะ ใช้เวลานานไหมกว่าจะติดตั้งเสร็จ?” ฮันส์ชักลำคาญความช่างเจรจาของภรรยา

nomadic-ger“ไม่นานเท่าไหร่หรอกค่ะ หนึ่งถึงสองชั่วโมงก็เสร็จ พวกนี้ชำนาญ” เพ็ญนึกขันที่สามีใจร้อน

“ก่อนอื่นเขาจะสร้างระแนงไม้ขึ้นก่อนรอบๆ กระโจม เอาเชือกยึดไว้ แล้วก็ไม้รูปกลมโค้งวางบนหลังคามีไม้สองอันยึดไว้ ใช้หีบหนักๆ ถ่วงไม่ให้ปลิวไปตามลมเสร็จแล้วติดกรอบประตูที่ทางเข้าซึ่งมักจะอยู่ทางทิศใต้หลังจากนั้นใช้ผ้าสักหลาดคลุมลงไปบนหลังคาไม้รูปกลมจนระพื้นเพื่อให้เป็นฝาด้วย เอาผ้าลินินคลุมทับผ้าสักหลาดที่ทำจากขนแกะลงไปอีกที เพราะลินินถอดไปซักน้ำได้แถมยังช่วยป้องกันผ้าสักหลาดไม่ใช้เปียกชื้นจากฝนอีกต่างหาก ขั้นสุดท้ายเขาจะใช้เชือกที่ทำจากขนจามรี หรือขนม้ายึดกระโจมไว้ทั้งหลัง”

“จะว่าไปแล้วพวกที่ร่อนเร่นี่ก็มีชีวิตที่หน้าสนใจดีนะ” แจ๊คชวนคุย “เขาว่าพวกน็อมมัด Nomad นี่รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใดจริงไหม?”

“ก็คงจะจริงนะ” ฮันส์ตอบในฐานะที่เคยอยู่ประเทศในตะวันออกกลางมาก่อน

“พวกนี้มักจะไม่ลงใครง่ายๆ จงรักและซื่อสัตย์แต่กับครอบครัวและเผ่าของตนเท่านั้น”

“ในตำนานที่เคยได้ยินสมัยเด็กๆ เขาบอกว่าชาวมองโกลเลียเชื่อว่าต้นตระกูลของตนถือดำเนิดมาจากหมาป่าสีน้ำเงินกับแม่กวาง เพราะฉะนั้น ธงประจำกองทัพของเจงกิจข่านจึงเป็นรูปหมาป่า” เบ็ตตี้กล่าวเสริมขึ้นบ้างเพราะรู้ประวัติศาสตร์ของถิ่นกำเนิดของตนพอสมควร

dscf0038ว่าแล้วทั้งสี่คนก็พากันเดินไปสำรวจอาณาบริเวณซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเกอร์ร้านอาหารซึ่งมีเครื่องดื่มให้เลือกซื้อทุกชนิดรวมทั้งเบียร์ ไวน์ขาวและแดงจากต่างประเทศ มีเกอร์ขายของที่ระลึกและเกอร์มโหรสพหนึ่งโรง

หลังอาหารนารามาตามให้ทุกคนขึ้นรถไปพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในวนอุทยานแห่งชาติ “เกอร์วานซายคาน Gurvansailkhan” ซึ่งอยู่ไปทางใต้สุดของมองโกลเลีย ห่างจากพรหมแดนทางเหนือของจีนประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรทิวทัศน์ส่วนใหญ่เป็นภูเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายโกบี ขณะที่รถวิ่งขโยกเขยกไปตามที่แห้งแล้งมีแต่ฝุ่นของทะเลทราย นาราบอกว่า โกบีมาจากภาษามองโกลเลียแปลว่า อ่างตื่นใบใหญ่ มีความยาวจากตะวันตกไปตะวันออกสองพันกิโลเมตร และจากเหนือถึงใต้หนึ่งพันกิโลเมตร บริเวณที่คณะจะไปนี้มีผู้อาศัยอยู่โหรงเหรงเพียงหนึ่งพันครอบครัวซึ่งมีคนประมาณสี่พันห้าร้อย ส่วนใหญ่ใช้เกอร์เป็นที่พักอาศัย มีบางครอบครัวที่อยู่ใจกลางของหมู่บ้าน

ภายในพิพิธภัณฑ์มีไข่และกระดูกของไดโนเสาร์ตั้งโชว์เป็นหมวดหมู่ มีนกนานาชาติที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายโกบี และเสือดาวที่สตัฟฟ์เอาไว้ ทางด้านหน้าประตูมีตู้กระจกวางสมุดอัลบั้มแสตมป์มองโกลเลียหลายชนิดเอาไว้แต่ไม่มีใครสนใจ ทั้งๆที่รู้มาก่อนแล้วว่าที่นี่เป็นที่รวมแสตมป์ชั้นดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ

“ใครจะคิดอย่างไร ไม่รู้นะ แต่เพ็ญเองรู้สึกผิดหวังนิดๆที่ไม่มีสัตว์ให้ดูมากกว่านี้” เพ็ญรำพึงกับจูดี้และคริสตีน

“ฉันก็ผิดหวังเหมือนกันแหละ” จูดี้พูด ส่วนคริสตีนบ่นว่า

“หวังว่าคงจะไม่ได้เห็นอะไรดีๆเพิ่มเติมในสถานที่ต่อไปนะ ไม่งั้นฉันแบกกล้องมาเสียเที่ยวเปล่า” คริสตีนเป็นกรรมการคนหนึ่งของสามคม SEA มีหน้าที่เก็บเกี่ยวภาพเหตุการณ์ต่างๆตลอดทั้งปีเอาไว้ทำหนังสือที่ระลึกจากพิพิธภัณฑ์รถใช้ระยะเวลาในการวิ่งไปอีกประมาณยี่สิบกิโลเมตรก็มาถึงหุบเขา ‘โยลิน อัม Yolyn Am’ หรือหุบเขานกอินทรี ( Eagle Valley ) ซึ่งอยู่ในใจกลางของทะเลทรายโกบี รถจอดให้ลงแล้วเดินไปอีกหนึ่งกิโลเมตรก็มาถึงปากทางที่จะเข้าไปในหุบเขา

“ใครจะเช่าม้าขี่บ้าง?” นาราบุ้ยใบ้ไปที่กลุ่มหนุ่มๆชาวมองโกลเลียที่นั่งบ้างนอนบ้างหลบแดดอยู่ใต้ท้องม้า “ฉันอยากขี่ม้าจะได้ไม่ต้องเดิน ระยะทางยังอยู่อีกไกลไม่ใช่หรือ?” เบ็ตภรรยาของเดวิดรีบพูดก่อนใคร

pauline-on-horseว่าแล้วก็เดินไปเลือกม้าและให้หนุ่มคนหนึ่งช่วยจูงม้าให้ จูดี้และเบ็ตตี้ตามอย่างบ้าง ส่วนชายเจ้าของม้าตัวอื่นมองด้วยสายตาละห้อย เพราะนานๆจะมีแขกมาเช่าม้าขี่เสียทีหนึ่ง มีหนุ่มคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายประจำชาติสีเทาขี่ม้าฉวัดเฉวียนอวดนักท่องเที่ยว เพ็ญอยากจะขี่กับเขาบ้าง แต่ความอยากเดินมีมากกว่า เพราะกลัวพลาดไม่เห็นนกอินทรี หากต้องพะวงกับการทรงตัวอยู่บนหลังม้า เลยตั้งใจว่าจะเช่าขี่ตอนขากลับออกมา

“แหมน้ำเย็นดีจัง” ใครคนหนึ่งอุทานเมื่อวักดู “ทำไมถึงเย็นได้ก็ไม่รู้นะ อยู่กลางทะเลทรายแท้ๆ”

นาราชี้แจงข้อข้องใจว่า

gorge“นี่เป็นน้ำที่ละลายจากน้ำแข็งนะคะ ในฤดูหนาวมันจะก่อตัวขึ้นสูงถึงสิบเมตรเลยในทางแคบๆระหว่างเขา และจะมีอยู่ทั้งปี เดือนสิงหาเป็นเดือนเดียวที่น้ำแข็งละลายเกือบหมด เวลาที่พวกคุณเดินทางไปบนโขดหินก็ระวังหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะลื่นหกล้มไปเพราะบางแห่งน้ำแข็งอาจจะยังละลายไม่หมด”

อีกสามสิบนาทีต่อมาคณะก็มาถึงลานหินกว้างมีชาวบ้านเอาของกระจุกกระจิกมาวางขาย

“นั้นอะไรค่ะ?” ซินดี้ภรรยาชาวอเมริกันของโทเบียสชี้มือไปที่กองหินซึ่งมีหินวางซ้อนๆกันเป็นรูปปิระมิด มีริบบิ้นสีฟ้าผูกอยู่รอบตอนบน

“เรียกว่าโอวู่ค่ะ” นาราชี้แจง “Ovoo เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาของชาวมองโกลเลีย เขามักจะก่อกองหินพวกนี้ไว้ขนภูเขาบ้าง ตามโขดหินบ้าง เป็นการคารวะต่อเจ้าป่าเจ้าเขา”

นาราใช้ภาษาอังกฤษว่า ‘A religious offering to the gods’

valleysoldiersชาวคณะพากันเดินต่อไปตามทางลาดที่วกไปวนมาระหว่างหน้าผาสูงชัน จนมาถึงช่องเคยอีกช่องหนึ่ง ที่นั้นมีทหารหนุ่มๆ ในเครื่องแบบสี่ห้าคนกำลังนั่งปิกนิกกันอยู่มีขวดเบียร์เปล่ากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่สองสามขวด เคลาส์กล่าวคำสวัสดีและขอถ่ายรูป พวกเขาตื่นเต้นกันมากเมื่อเห็นภาพของตนปรากฏในกล้องดิจิตอลของชาวเยอรมัน

“ดีจังที่เราเดินมาถึงที่นี่ ทิวทัศน์แปลกไปกว่าที่อื่นๆ คุ้มกับที่เสียเวลาเดินกันมาไกล เสียอย่างเดียวที่ไม่ได้เห็นนกอินทรีสักตัว ไม่สมชื่อเลย” ซูภรรยาของเคลาส์ชวนคุย

พอกลับออกมาถึงที่ลาดหินอีกครั้งหนึ่ง เพ็ญก็เช่าม้ามาขี่ตามที่ตั้งใจไว้ ส่งกระเป๋าให้เจฟทัวร์ลีดเดอร์ของบริษัทหัวติงการท่องเที่ยวถือไว้ จะได้มีมือว่างยึดบังเหียนรู้สึกผิดหวังเล็กๆที่ชายจูงม้ากลับเป็นชายวัยกลางคนไม่ใช่หนุ่มหล่อที่ขี่ม้าฉวัดเฉวียนเมื่อครู่ก่อน แถมอีตาเจ้าของยังจูงม้าให้เดินวนกองหินอูวู่อีกสามรอบอีกต่างหาก เป็นการคารวะต่อเจ้าที่เจ้าทาง ส่วนฮันส์ขี่โดยไม่ให้มีใครจูง ด้วยกลัวจะเสียเหลี่ยมทั้งๆที่ม้าต้องวิ่งไปบนโขดหินใหญ่น้อยที่เกลี่ยนกลาดอยู่ข้างทาง

ก่อนกลับที่พัก คณะแวะที่เกอร์ของชาวมองโกลเลียซึ่งควรจะเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่มีใครเห็นสัตว์เป็นฝูงๆ อย่างที่วาดภาพเอาไว้ มีแต่ฝูงแพะและแกะกับอูฐอีกสองสามตัวป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น หญิงเจ้าของเกอร์ออกมาชวนให้เข้าไปพักข้างในแล้วเอาเนยแข็งแห้งที่ทำจากนมแพะและชาอ่อนรสเค็มๆ ใส่นมออกมาเลี้ยงแขก ก่อนที่จะเข้าไปในเกอร์ นาราเตือนทุกคนไม่ให้เหยียบธรณีประตูเพราะชาวมองโกลเลียถือโชคลาง ซึ่งไม่แปลกสำหรับเพ็ญเพราะธรรมเนียมไทยโบราณก็คล้ายคลึงกัน ชาวคณะได้ความรู้ขึ้นมาอีกว่า ถ้าใครจะเข้าไปในเกอร์ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูขออนุญาต เพียงแต่พูดในภาษามองโกลเลียว่า ‘โนคอย คอร์ Nokhoi Khor’ ซึ่งมีความหมายว่า

“ขออนุญาตเข้าไปข้างในได้ไหม?”

แต่ความจิงแปลตรงๆว่า

“ดูหมาให้ด้วยนะ”

เพราะหมาชาวมองโกลเลียดุ อาจจะโผนขย่ำคอผู้มาเยือนได้ง่ายๆ และอาจจะแถมเชื้อหมาบ้าให้อีกต่างหาก นาราเตือนให้ทุกคนรับของว่างที่เจ้าของบ้านนำเอาออกมาต้อนรับ เพราะถ้าปฏิเสธจะไม่สุภาพ เพ็ญหยิบเนยแข็งแห้งเข้าปาก แล้วเกือบจะป้วนทิ้งทันทีเพราะหืนสุดกำลัง แต่พอแลเห็นหญิงเจ้าของเกอร์มองมาเธอก็แสร้งกัดนิดหน่อยแล้วเอาส่วนที่เหลือวางไว้บนโต๊ะ เมื่อไม่มีใครสนใจก็คายเนยแข็งที่อยู่ในปากออกใส่กระดาษเช็ดมือแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ทิ้งทีหลัง

“ครอบครัวคุณใหญ่ไหมคะ?” จูดี้ถามเจ้าของบ้านผ่านนารา

“มีลูกสามคนค่ะแต่ส่งไปอยู่โรงเรียนประจำในมณฑลหมด จะกลับบ้านเฉพาะปิดเทอมสองอาทิตย์ในฤดูหนาว และอีกทีก็ตอนปิดเทอมยาวสามเดือนในฤดูร้อนค่ะ” หญิงเจ้าของเกอร์ตอบ

“เด็กๆที่เกิดในครอบครัวมองโกลเลียที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ จำเป็นต้องส่งลูกๆไปอยู่ประจำ ไม่เช่นนั้นเด็กๆจะไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย” แล้วขยายความต่อว่า

“ชีวิตเราก็เหมือนกับครอบครัวชาวมองโกลเลียคนอี่นๆที่เร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายโกบีนั่นแหละค่ะ เป็นเจ้าของสัตว์ที่เขาเรียกกันว่าเจ้าจมูกแหลมอยู่ห้าชนิด (Five Snouts) ครบถ้วนตามสูตรทะเลทรายโกบี”

หล่อนบรรยายต่ออีกว่า ครอบครัวหล่อนเลี้ยงม้าสิบสี่ตัวเพื่อเอานม มีวัวสิบตัวรวมทั้งจามรีเพื่อรีดเอานมเหมือนกันและใช้เนื้อกินด้วย มีอูฐแบบที่มีหลังสองหนอกห้าสิบตัวสำหรับบรรทุกสัมภาระ และยังมีฝูงแพะและแกะอีกจำนวนหนึ่งเลี้ยงไว้เอาขนและกินเนื้อ

ครอบครัวหล่อนเดินทางมาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือห่างออกไปประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร ใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงมาถึงที่พักปัจจุบัน เหตุที่ต้องร่อนเร่ไปเรื่อยๆ ก็เพราะต้องการหาแหล่งน้ำ และอาหารให้สัตว์นอกนั้นก็อยากจะไปอยู่ในที่อากาศดี เกอร์ที่พำนักอยู่นี่ใช้เวลาติดตั้งเพียงหนึ่งชัวโมงเท่านั้น เพราะเป็นเกอร์ฤดูร้อน

“ทะเลทรายโกบีส่วนนี้ดูแห้งแล้งจังนะ” คริสตีนปรารภ เมื่อคณะออกมาขึ้นรถที่จอดรถอยู่

“ไม่มีแม้แต่หญ้าให้สัตว์และเล็ม แล้วมันจะกินอะไรเป็นอาหารล่ะ?” หญิงชาวนิวซีแลนด์ยังคงเป็นห่วง

“มันก็กินกระดาษทิชชูน่ะสิ” ฮันส์ติดตลก “แต่อย่าไปกินเนื้อมันเข้าเชียวนะ เพราะเหม็นน่าดู ตอนเราอยู่ตะวันออกกลาง เวลาเดินเข้าไปในซู้ค Zug หรือตลาดของเขา พอได้กลิ่นชิชคาบับ Shish Kebab เนื้อแพะที่เขาย่างขายอยู่แล้วหละก็ แทบจะคายของเก่าเทียวละเพราะมีแต่น้ำมันไหลเยิ้ม” ฮันส์เล่าประสบการณ์ในชีวิตส่วนหนึ่งที่เขาและเพ็ญเคยผ่านมา

creckflaming-cliffนอกจากความเวิ้งว้างของทะเลทรายสีน้ำตาลซึ่งตัดกับขอบฟ้าสีครามแลไกลสุดลูกหูลูกตาแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้เห็นอีก ไม่มีแม้แต่ดอกไม้สีส้มที่แต่งแต้ม โขดหินในหุบเขาโยลิน อัม ให้สีสันแปลกตา

“ใครเห็นทะเลสาบข้างหน้าของเราบ้าง? ดูสิสีน้ำเงินปนเทา สวยจัง นารา คุณบอกให้โชเฟ่อร์พาเราไปที่นั่นหน่อยได้ไหม?” เบ็ธที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถหันไปถามคณะที่นั่งอยู่ตอนหลัง พร้อมกับขอร้องนาราในคราวเดียวกัน

“รถกำลังไปทางนั้นอยู่แล้วค่ะ แต่เราจะไม่ได้เห็นทะเลสาบหลอกนะคะ” นาราตอบอย่างพยายามถนอมน้ำใจของเบ็ธ แต่หญิงอเมริกันไม่ได้สนใจกับคำตอบเท่าไร เพราะมัวเพลินกับสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้า ยิ่งรถวิ่งใกล้เข้าไปเท่าไรทะเลสาบก็ยิ่งห่างออกไปเท่านั้น ในที่สุดเพ็ญอดรนทนไม่ได้จำต้องอธิบายให้เบ็ธฟังถึงสิ่งที่เรียนมาตั้งแต่สมัยเด็ก และจากประสบการณ์ในทะเลทรายว่า สิ่งที่แลดูเหมือนทะเลสาบนั้น หาใช่ทะเลสาบไม่ แต่เป็น ‘มิราจ’ ภาพลวงตาที่เกิดจากสภาพของแสงในทะเลทรายนั้นเอง

เย็นวันนั้น หลังอาหราค่ำ เบ็ธ เดวิด จูดี้ คริสตีน เพ็ญ และฮันส์ เหมาไวน์หมดทั้งร้าน มาดื่มให้กับความผิดหวังของเบ็ธที่ไม่ได้เห็นทะเลสาบ กับความผิดหวังของทุกคนในคณะที่ไม่ได้เห็นนกอินทรีแม้แต่สักตัวเดียว