ดินแดนของกษัตริย์เจงกิสข่าน ตอนที่ 3

วันที่ ๒๗ สิงหาคม แม้จะกินไวน์เข้าไปเกินขนาด ทุกคนก็ตื่นขึ้นมาทันการออกเดินทางในเวลาเก้าโมงสิบห้าเพื่อไป “บายาน ซัก Bayanzag” ซึ่งอยู่ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง “ดาลานซักดาน” ประมาณร้อยกิโลเมตร บายาน ซัก เป็นภาษามองโกลเลียแปลว่า พฤกษศาสตร์ที่ถือรากมาจากก้อนหิน แต่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ “หน้าผาสีแดงเพลิง Flaming Cliffs” ที่นายรอย แชมแมน แอนดรูวส์ Roy Chapman Andrews ตั้งขึ้น ชาวนิวยอร์กคนนี้เป็นผู้สันทัดในวิชาการศึกษาที่มีชีวิตสัตว์โบราณ เขาได้ไปสำรวจบริเวณนี้ในปี ค.ศ. ๑๙๒๒ และได้พบของไข่ของไดโนเสาร์เป็นชุดแรกพร้อมทั้งส่วนคางและหัวกะโหลก ซึ่งตั้งโชว์อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ในเมืองอุลานบาตาร์ และในพิพิธภัณฑ์ที่คณะที่มาจากเซี่ยงไฮ้ได้เห็นแล้วส่วนหนึ่งเมื่อบ่ายวันก่อน

นายแอนดรูวส์เดินทางไปเอเชียตอนกลางเพื่อค้นหากระดูกที่จะพิสูจน์ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วินแต่ไม่พบ เขากลับได้พบร่องรอยว่ามีมนุษย์อายุสองหมื่นปีอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ สิ่งที่ทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วโลกมาจากซากไดโนเสาร์ที่เขาค้นพบในแถบบายาน ซัก ตำรา บอกว่า ฮอลลีวู้ดได้ใช้เค้าโครงเรื่องบางส่วนของชีวิตนายแอนดรูวส์มาสร้างหนังเรื่องอินเดียนน่า โจนส์ ออกมาให้ได้ชมกันเล่ากันว่านายคนนี้มักจะพูดอะไรเกินความจริงเสมอ เช่น ถ้าต้องเดินลุยน้ำไปแค่ตาตุ่ม แกก็จะโม้ว่าน้ำลึกแค่คอ เป็นต้น เมื่อกลับไปอเมริกา เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาของประเทศ แต่ได้ถูกขอร้องให้ลาออกภายในเวลาต่อมาเมื่อเขาสิ้นชีวิตที่แคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ.๑๙๖๐ ตอนอายุ ๗๖ ปี แทบจะไม่เป็นข่าวเลย อย่างไรก็ดี ทุกคนต้องยอมรับว่า ชีวิตของเขามีสีสันไม่น่าเบื่อ

ระหว่างทางที่รถวิ่งไปมีคาราวานอูฐอยู่สิบสี่ตัวมีม้าวิ่งอยู่ฝูงหนึ่ง มีจามรียืนเบิ่งมองรถอยู่ไม่กี่ตัว นอกนั้นก็ไม่มีสัตว์ป่าชนิดอื่นให้เห็น ทั้งสองข้างฝากถนนมีซากสัตว์ตายอยู่ข้างทางเป็นระยะๆ นาราอธิบายว่า สัตว์เหล่านี้ตายเพราะไม่อาจจะทนความแห้งแล้งได้ เพราะฤดูหนาวของปี ค.ศ.๑๙๙๙ ต่อ ๒๐๐๐ เป็นฤดูหนาวที่หนาวที่สุดและยาวนานที่สุด ชาวมองโกลเลียเรียกสภาพที่สัตว์ไม่อาจจะเดินไปหาอาหารและน้ำกินเองได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งว่า “ซัด Zud” ซึ่งกรณีนี้เกิดจากหิมะและน้ำแข็งในฤดูหนาวที่โหดร้ายเอง

ก่อนถึงบายาน ซัก คณะไปหยุดกันที่ “โมลท์ซ็อก แอลส์ Moltzog Els” ซึ่งเป็นแหล่งที่ประกอบไปด้วยเนินเขาทรายสูงจดขอบฟ้า เพ็ญนึกเสียใจที่ไม่ได้เอาถุงขยะเปล่าๆมา จะได้นั่งไถลลงเนินไปแบบไม้ลื่น อีกไม่นานต่อมาท้องฟ้าสีครามที่เห็นเมื่อชั่วครู่เริ่มอึกครึม ลมเริ่มพัดมาจัดจนหมอกปลิวและแทบจะทรงตัวไม่ได้ เพ็ญเริ่มเป็นกังวลเพราะประสบการณ์ในทะเลทรายของภาคตะวันออกกลางบอกให้รู้ว่า อาจจะมีพายุทรายเกิดขึ้นในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็เป็นได้

บายาน ซัก อยู่ห่างจาก โมลท์ซ็อก แอลส์ ประมาณยี่สิบสองกิโลเมตร ตอนนี้ลมแรงเริ่มอ่อนตัวรถหยุดให้ขึ้นไปบนผาแดงที่ประกอบด้วยหินและทรายมีพุ่มไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆแสดงว่าน่าจะมีแหล่งน้ำอยู่ที่ไหนซักแห่งหนึ่งใกล้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงบ่ายยามที่พระอาทิตย์ส่องแสงสะท้อนไปยังหุบผา ก่อให้เกิดสีแดงเพลิงสมชื่อที่นายแอนดรูวส์ตั้งไว้ ความเงียบและเวิ้งว้างของทะเลทรายทำให้ขนลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว บางคนปีนป่ายขึ้นไปบนหน้าผาด้วยหวังที่จะพบ “ขุดพบ” โครงกระดูกของไดโนเสาร์ที่อาจจะหลงเหลืออยู่

รถวิ่งขโยกเขยกไปทางขรุขระ โชเฟอร์คนนี้คงจะเกิดและเติบโตมาในถิ่นนี้ เพราะหากไม่ชำนาญทางก็คงจะหลงหาทางออกไม่พบอยู่ในทะเลทรายโกบีแห่งนี้เป็นแน่ ในที่สุดก็หยุดจอดบริเวณที่มีพุ่มไม้ขึ้นอยู่ประปราย มีหญ้าเขียวเป็นบางแห่ง เพ็ญเดินเข้าไปสังเกตการณ์จึงเห็นว่าต้นไม้ในบริเวณนี้สูงท่วมหัวของตนเองไปมาก และมีรากที่ไชขึ้นมาจากหินปนทราย

“ทะเลทรายโกบีมีต้นไม้พวกนี้อยู่นับเป็นหลายๆล้านตารางเมตรเลยค่ะ” เสียงนาราดังมาจากข้างหลังของเพ็ญ “โชคดีนะค่ะที่ทะเลทรายมีต้นไม้ประเภทนี้เอาไว้ช่วยยึดทรายบางส่วน แถมยังช่วยไม่ให้ลมพัดเซาะเอาทรายไปอีกต่างหาก”

“ต้นไม้นี่ใช้เวลานานมากไหมครับกว่าจะโตขนาดนี้?” โทเบียสถามและเดินเข้ามาร่วมวงด้วย “ใช้เวลาเป็นร้อยๆปี เลยค่ะกว่าจะโตสูงถึงสี่เมตรขนาดนี้ ไม้นี่หนักมากนะคะ ถ้าเอาไปลอยในน้ำก็จะจม” นาราอธิบาย

“ทำไมทะเลทรายโกบีถึงไม่ค่อยมีดอกไม้ให้เห็นสักเท่าไหร่ล่ะคะ?” เพ็ญถาม “นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่ เหมือนกันค่ะ” นาราตอบ “ความจริงในทะเลทรายมีดอกไม้จำพวกโรโดเด็นดรอนและเอเดิ้ลไวส์ และดอกไม้ป่าสีแดง เหลือง และม่วงอยู่มากเหมือนกัน แต่พวกสัตว์และเล็มกินกันเกือบจะไม่มีอะไรเหลือ มันเป็นลูกโซ่ค่ะ หากไม่มีให้สัตว์กินสัตว์ก็ตาย หากให้กินดอกไม้ก็สูญพันธ์หมด”

“อาหารเสร็จแล้วครับ เชิญมารับประทานได้” เสียงเจฟหัวหน้าทัวร์ร้องเรียก เพ็ญหันไปมองก็เห็นว่าพื้นทรายใกล้กับที่รถจอดมีผ้าใบผืนใหญ่ปูอยู่ใกล้ๆ มีพ่อครัวและชายคนที่เสริฟอาหารในค่ายกำลังกุลีกุจอตักเอาเนื้อปนกระดูกชิ้นใหญ่ออกมาจากหม้อ ชาวคณะต่างทรุดตัวลงนั่งบนผืนผ้าใบ และเริ่มฉีกเนื้อช่วยตัวเอง ในขณะที่คนเสริฟจัดหาจานกระดาษ พร้อมมีดและส้อมพลาสติกมาวางให้ กลิ่นของเนื้อแพะตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ

ชาวมองโกลเลียชอบกินเนื้อแพะต้มเป็นอาหารหลัก เพราะฉะนั้นกลิ่นของมันจึงมีอยู่ทุกหัวระแหงแม่แต่ในขนมปังและเนย รวมถึงธนบัตรและสบู่ พร้อมผ้าเช็ดตัวในโรงแรม ประเทศมองโกลเลียไม่มีน้ำมันพืช จึงต้องใช้น้ำมันแพะแทน กลิ่นแพะจึงติดตัว ติดผม ติดเสื้อผ้าไปจนถึงบ้าน อาหารที่ชาวคณะกำลังปิกนิกอยู่ที่เรียกว่า “คอร์ค๊อค Khorkhog” ในภาษามองโกลเลีย เขาเอาก้อนหินก้อนร้อนๆ ที่อังไฟแล้วใส่ลงไปในหม้อน้ำนม แล้วก็เอาเนื้อแพะหรือแกะสับเป็นชิ้นๆใส่ลงไปอีกทีหนึ่ง เติมน้ำหรือเหล้าว้อดก้าลงไป แล้วปิดฝาตั้งไฟ

เพ็ญนั่งลงใกล้สามีที่กำลังนั่งขัดสมาธิสาละวนอยู่กับเนื้อข้างหน้า พอเห็นเพ็ญก็กล่าวชวน “ลองชิมหน่อยสิ รสชาติไม่เลว” เพ็ญหั่นเนื้อชิ้นหนึ่ง ใช้มีดจิ้มส่งเข้าปาก พยายามเคี้ยว แต่แล้วต้องแอบคายทิ้งจะลุกขึ้นเดินหนีก็ใช้ที่ เพราะใครๆก็กินกันหน้าตาเฉยทั้งนั้น ท้องเพ็ญร้องจ๊อกๆ เตือนให้รู้ว่าเลยเวลาอาหารกลางวันไปนานแล้ว นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสองโมงครึ่งพอดี พระเจ้าคงจะสงสารเพ็ญ ไม่ให้ต้องนั่งทรมานอยู่นาน จึงส่งฝนลงมาช่วย เพ็ญฉวยโอกาสลุกขึ้นวิ่งขึ้นรถไปหลบฝน ไม่มีใครวิ่งตามมา ไม่มีใครสนใจฝนเพราะยังง่วนอยู่กับอาหารตรงหน้า เพ็ญจึงได้จังหวะเปิดกระเป๋าหยิบเอาเนยถั่วออกมาทาแครกเกอร์ที่เอาติดมาด้วยฝนตกอยู่ไม่นานก็หยุด แต่ก็นานพอให้เพ็ญได้กินอาหารกลางวันของตนจนเสร็จ แล้วลงรถไปหาน้ำดื่มร่วมกับคนอื่น หากมีใครเห็นเพ็ญแอบกินอาหารแต่เพียงลำพังบนรถ เขาก็มีมารยาทดีไม่กล่าวถึงให้เพ็ญเขิน สังคมชาวตะวันตกส่วนใหญ่เคารพความเป็นส่วนตัวซึ่งกันและกัน จึงทำให้เพ็ญอยู่ร่วมกับพวกเขาได้โดยสนิทใจ

อาหารเย็นในร้านอาหารที่ค่ายวันนั้น นักชิมอาหารที่เป็น (Goumet) กัวเม ตัวจริงคงจะไม่เอาๆไปเขียนถึงเป็นแน่แม้จะได้สินบน อย่างไรก็ดี การแสดงของมองโกลเลียในค่ายในคืนวันเดียวกันนั้นเกือบจะเป็นไฮไลท์สำหรับการเดินทางมาประเทศนี้ นักแสดงและนักดนตรีในเครื่องแต่งกายประจำชาติสีสันเจิดจ้าออกมาเล่นดนตรีพื้นเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งนักแสดงและนักดนตรีต่างก็แสดงกันอย่างสุดฝีมือ เรียกให้ผู้ชมตบมือครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นในยุโรปคงจะได้ Curtain Call เป็นสิบๆครั้ง เครื่องดนตรีมีขลุ่ย ไวโอลิน ซอ และกลอง เป็นอาทิ ดนตรีพื้นเมืองของชาวมองโกลเลียกล่อมผู้ฟังให้เคลิบเคลิ้ม เหมือนถูกสะกดจิต หากหลับตาแล้วปล่อยให้ใจล่องลอย คนตรีฟังเหมือนน้ำเซาะในลำธารที่ไหลจากหุบเขาผาเบื้องบน เหมือนลมหวีดหวิวที่พัดผ่านยอดไม้ เหมือนนกการเวกเสียงไพเราะ ที่ออกมาแข่งกันร้องเพลงบนคาคบ ผู้ฟังจะสัมผัสได้ถึงความสงบภายในเมื่อดนตรีจบลง

ชาวมองโกลเลียยังมีการร้องเพลงอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า “ร้องออกมาลึกจากต้นคอ หรือ Deep Throat ” เป็นเสียงร้องที่เกิดจากตอนบนของหลอดลมจากลำคอ จากท้อง และจากเพดานปาก ฟังดูแปลกไม่เพราะเลย เบ็ธทำให้เพื่อนๆชาวคณะแปลกใจ เพราะเธอสามารถทำเสียงแบบนี้ได้ดี เหมือนกับฝึกฝนมานานปีแถวยังเป่าปากได้อีกต่างหาก

ลมที่พัดแรงในตอนบ่ายได้กลายเป็นพายุและฝนที่สาดกระหน่ำในตอนกลางคืน สายฝนไหลลงกระทบหลังคาเกอร์ดังซู่ซ่า มองลอดเพดานในช่วงที่เปิดให้แสงลอดเข้า ไม่มีแม้แต่ดาว ท้องฟ้ามืดครึ้ม สลับด้วยแสงฟ้าแลบเป็นระยะๆ อากาศในทะเลทรายโกบีเยือกเย็นลง ฮันส์จุดเตาผิงกลางกระโจม ในขณะที่เพ็ญนอนปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกลและหลับไปพร้อมกับเสียงดนตรีพื้นเมืองที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหู

วันที่ ๒๘ สิงหาคม

ขากลับอุลานบาร์ ตาร์ เครื่องบินเสียเวลาไปห้าสิบนาที ชาวคณะใช้เวลาที่รอสนทนาและขุดเอาเพลงเก่าๆมาร้อง ต่างก็แซวกันว่าจะรู้อายุกันได้ก็ตรงเพลงที่ร้องนี่เอง พอร้องเพลงเบื่อแล้วก็เดินไปดูสินค้าพื้นเมืองที่วางขายในร้านเล็กๆ ภายในอาคารของสนามบิน ไม่มีใครกลัวตกเครื่อง เพราะสนามบินมีสภาพเหมือนท่ารถเมล์ มีเครื่องบินขึ้นและลงอยู่เพียงลำเดียว จูดี้แนะนำพรรคพวกผู้หญิงให้ซื้อหมวกและเสื้อแจ๊คเก้ตประจำชาติมองโกลเลียเอาไว้ใส่ให้เหมือนๆกันไปงาน “เมลเบิร์นคุพ” ที่โรงแรมฮิลตันในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งสมาคมชาวออสเตรเลียจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เป็นการฉลองวันแข่งม้าประจำปีของชาวออสเตรเลีย จูดี้บอกว่าหมวกที่เด่นที่สุดจะได้รับรางวัล ในขณะที่เขียนสารคดีนี้งานได้ผ่านไปแล้ว คณะของจูดี้เรียกตนเองว่า “มองโกลเลียมาม่า” ใครชมว่าเสื้อผ้าและหมวกสวย แต่กลับไม่ได้รางวัล จูดี้โมโหบ่นว่า นอกจากจะเป็น “แพนซี่” แล้วยังตาถั่วอีกต่างหาก

ขณะที่เครื่องบินกำลังร่อนลงรันเวย์ของสนามบิน “บูยานท์ อุคคา” ล้อยางทางซ้ายมือระเบิด แต่เคราะห์ดี ที่เครื่องบินลงไปได้ปลอดภัย ไม่มีใครได้รับอันตราย พอลงจากเครื่องได้ โทเบียสรีบเดินไปสำรวจ พอยกกล้องจะถ่ายรูปยางที่แตก เจ้าหน้าที่ชายชาวมองโกลเลียคนหนึ่งรีบวิ่งมายืนบังล้อเครื่องบินด้านนั้นเอาไว้

หลังอาหารกลางวัน นาราพาชาวคณะไปชมพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาในตัวเมืองอุลาน บาตาร์ มีโครงกระดูกไดโนเสาร์มหึมา ซึ่งค้นพบในทะเลทรายโกบี ในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ วางโชว์อยู่สองโครง มีไข่ไดโนเสาร์ที่ดูเหมือนกับหินเหล็กไฟขนาดใหญ่อยู่ในตู้กระจกนอกจากนั้นก็มีพืชพรรณไม้และสัตว์ต่างๆที่สตัฟฟ์เอาไว้หากใครไม่มีโอกาสเห็นสัตว์ป่า ควรจะแวะไปพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพราะเป็นแหล่งรวมของพืชและสัตว์โบราณหลายชนิดที่น่าสนใจ

วัด “กานดาน คิด Gandan Khiid” เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดและถือว่าสำคัญที่สุดในมองโกลเลีย เริ่มสร้างในปี ค.ศ.๑๘๓๘ โดยกษัตริย์ “โบกาด เกเก็น ที่ ๔” แต่มาเสร็จลงหลังที่พระองค์เสด็จสวรรคตแล้วในสมัยกษัตริย์ “โบกาด เกเก็น ที่ ๕” ในปี ค.ศ.๑๙๓๗ วัดวาอารามต่างๆถูกทำลายไปมากต่อมากด้วยน้ำมือของคอมมิวนิสต์ เคราะห์ดีที่วัดกานดาน คิด เหลือรอดมาได้ ไม่ได้ถูกทำรายเสียหายจนหมดเช่นวัดอื่นสันนิษฐานว่าอาจจะเหลือเอาไว้อวดคนต่างชาติก็เป็นได้

ในปัจจุบันมีพระสงฆ์ประจำวัดอยู่ประมาณร้อยห้าสิบรูป สภาพแวดล้อมของวัดชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ของมองโกลเลีย ถึงแม้ว่าภายในวัดจะมีวัสดุที่หาค่ามิได้อยู่มากมาย แต่บริเวณภายนอกวัดส่อให้เห็นถึงความสิ้นหวังโดยทั่วไป หญ้าขึ้นอยู่รกรุงรัง สนามที่ควรจะขริบเล็มให้สวยงามเป็นระเบียบกลับไม่ได้รับความเอาใจใส่จากผู้ดูแล ทั้งๆที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเสียเงินบริการค่าผ่านประตูคนละไม่น้อย หากจะถ่ายรูปจะต้องเสียเงินอีกต่างหาก

สถานที่ที่น่าชมในวัดคืออาราม “มิคจิด จานไรซิค ซัม สีขาว White Migjid Janraisig Sum” ซึ่งมีองค์พระพุทธรูปแห่งชีวิตยืนยาวประดับอยู่บนฝนังเป็นร้อยๆองค์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงถึงยี่สิบเมตรที่สร้างด้วยทองผสมบรอนซ์ในปี ค.ศ.๑๙๑๑ โดยกษัตริย์ “เจ็บท์ซุน ดัมบา ที่ ๘ Jebtzun Damba” หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า “โบกาน คาน” ซึ่งเคยประดิษฐานอยู่ในวัด กานดาน คิด ถูกทำรายโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ในปี ค.ศ.๑๙๓๗ เพื่อจะเอาทองและบรอนซ์ไปละลายทำลูกกระสุนปืนที่เมืองเลนินกราดหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบันมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงยี่สิบห้าเมตรบริจาคโดยประเทศเนปาลและญี่ปุ่น ทำด้วยทองแดงฉาบด้วยทองคำตั้งอยู่แทนที่ มีจีวรทอปักด้วยไหมทองยาว ๕๐๐ เมตร คลุมอยู่ ภายในองค์พระพุทธรูปมีเพชรนิลจินดาเครื่องประดับพร้อมทั้งสมุนไพรนานาชนิดและพระไตรปิฎกบรรจุอยู่

วัง “โบกาด คาน” เป็นวังฤดูหนาว ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด ในปี ค.ศ. ๑๙๐๓ เคบเป็นที่ประทับของกษัตริย์ “เจ็บท์ซุน ดัมบา ที่ ๘” ถึงยี่สิบปี ที่ใครๆรู้จักพระองค์ในนาม “โบกาด คาน” นั้นเนื่องมาจากว่าพระนามจริงของท่านมีอักษรยาวถึงสิบสี่ตัว พระองค์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของมองโกลเลีย มีเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์องค์นี้มากมายเป็นต้นว่าเอาสายไฟไปต่อเข้ากับแบตเตอรรี่รถยนต์แล้วห้อยลงมาจากวัง รอให้ใครเอามือไปจับ พอถูกไฟดูดท่านก็บอกว่าเป็นอภินิหารของท่านเอง ไม่ว่าเรื่องที่กล่าวขานกันจะจริงหรือเท็จ สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือพระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ที่น่าเบื่อ ในปัจจุบันวัง “โบกาด คาน” ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว

ภายในพิพิธภัณฑ์มีสัตว์ป่าชนิดต่างๆสตัฟฟ์ไว้มากมาย เพราะกษัตริย์เจ็บท์ซุน ดัมบา โปรดการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ มีของขวัญมากมายจากบุคคลสำคัญๆ แม้แต่พระเจ้าซาร์ของรัสเซียองค์หนึ่งก็ประทานรองพระบาทบู๊ตทองมาให้ รวมทั้งพระภูษาเสื้อคลุมที่ทำจากขนหมาจิ้งจอกที่โชคร้ายถึงฆาตแปดสิบตัวนอกจากนั้นก็มีเกอร์ทำด้วยหนังเสือดาวหิมะอีกเป็นร้อยๆ หนึ่งในจำนวนสมบัติที่มีอยู่เป็นช้างหนึ่งเชือกที่สตัฟฟ์ไว้ เล่ากันว่าช้างเชือกนี้เดินมาไกลจากพรมแดนประเทศรัสเซียจนถึงอุลาน บาตาร์ โดยใช้เวลานานถึงสามเดือนเต็ม

เดินชมวัดและวังกันจนลานตาตลอดทั้งบ่ายแต่ดูไม่ทั่ว ยังมีสิ่งที่ให้ชมกันอีกมากมาย มีเวลาเหลืออยู่อีกไม่มากนัก คณะของเพ็ญจึงขึ้นรถไปเที่ยวโรงงานผลิตเสื้อหนาวที่ทำด้วยแคชเมียร์ ใช้เวลาในโรงงานได้ไม่นานทุกคนก็ตัดสินใจว่า คุณภาพของแคชเมียร์ยี่ห้อ “โนเว มาร์ โซ Nove Marzo” ในเมืองซูโจ้วดีกว่าแยะวิจารณ์กันโดยไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของโนเว มาร์โซ เป็นชาวสวิสและเป็นเพื่อนของเพ็ญและฮันส์ เขามาเปิดโรงงานที่เมืองซูโจ้วได้หลายปีแล้ว แต่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ประจำไปๆมาๆระหว่างประเทศสวิสกับประเทศจีน

เย็นวันนั้น คณะจากเซี่ยงไฮ้ไปกินอาหารเย็นกันในร้านอาหารเกาหลี แม้ว่าจะไม่ใช้ร้านที่เพ็ญจะเลือกในยามปกติ แต่ในวันนั้นใจเพ็ญคิดว่ารสชาติอาหารไม่เลวเลย ด้วยอดอยากมาแล้วหลายวัน เที่ยวไปชมกับใครต่อใครว่าอาหารอร่อยมาก

วันที่ ๒๙ สิงหาคม

แล้ววันสุดท้ายก็มาถึง รถหยุดให้ชาวคณะได้ไปช็อปปิ้งเป็นครั้งสุดท้ายที่ “บายาน กอล” ก่อนจะอำลาจาดอุลาน บาตาร์ กลับเซี่ยงไฮ้ สิ่งที่ทุกคนซื้อคือว้อดก้าและไข่คาเวียร์ซึ่งถูกมาก ทุกคนถือว่าเป็นกำไรของชีวิตที่ได้ไปเที่ยวประเทศแบบนี้ แม้ว่ามองโกเลียจะยากจนและกันดาร แต่ก็น่าสนใจและชวนให้คิด นอกเหนือจากนั้น ในระหว่างการเดินทางทุกคนได้พบมิตรใหม่หรือไม่ก็ได้กระชับมิตรภาพดั้งเดิมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในส่วนตัวเพ็ญเอง ฝันที่เคยมีมานานแล้วได้กลายเป็นความจริงภายใต้ท้องฟ้าเหนือดินแดนของเจินกิสข่าน