อลิซ แม่สาวเนื้อหอม

เคยอ่านนวนิยายเรื่อง “A Town Like Alice-เมืองเช่นเมืองของอลิซ” โดยนักเขียนชื่อ ก้องของโลก คือ เนวิลชู้ตตั้งแต่ครั้งยังเป็นสาวเอ๊าะๆ ฉันตกหลุมรักนายโจ ฮาร์แมนพระเอกของเรื่องในทันทีมันใดตามประสาคนใจง่าย ได้ตั้งใจตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาว่า วันหนึ่งจะไปเที่ยวเมืองนี้ให้จงได้สักครั้งก่อนตาย เพราะพ่อโจเล่าให้ยีน แพเจ๊ต นางเอกฟังว่ามาจากเมืองนี้ ตอนที่ทิ้งสองต่างก็เป็นเชลยของญี่ปุ่นในประเทศมลายู หรือว่าประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน

อารมณ์ โรแมนติกของผู้อ่านเช่นฉันยังเพ้อต่อไปว่า ใครจะรู้อนาคตจับพลัดจับผลูฉันอาจจะได้พบเนื้อคู่เป็นหนุ่มกล้าหาญชาวออสซี่ เช่น โจฮาร์แมน ก็ได้ จะได้เหมือนกันยีน หรือที่คนอังกฤษออกเสียงว่าจีน ถ้ายีนสามารถพิชิตหัวใจอะไรของโจได้ ก็คงจะไม่ยากเย็นเข็ญใจอะไรหรอกนะที่ฉันจะพิชิตใจหนุ่มบ้านนอกแบบโจสักคนหนึ่งพูดแล้วจะว่าคุย เมื่อสมัยฉันยังเป็นสาวอยู่นั้น ยีนก็ยีนเถอะ แพ้ฉันแบบไม่เห็นฝุ่นเลยละ สมันนั้นใครๆ ก็เรียกฉันว่าแม่ “ทวิกกี้” กันทั้งนั้นแหละ คิดดูเอาเองว่าเซ็กซี่ขนาดไหน ทั้งสูงทั้งผอมคอยาวเหยียดเป็นยีราฟ แถมไว้ผมสั้นกุดอีกต่างหาก

ในที่สุดฉันก็ได้ไปเหยียบดินแดนที่เคยฝันเอาไว้ หลังจากที่รอมานานหลายปี ออสเตรเลียกว้างใหญ่ไพศาลระยะทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งนั้นไกลเหลือแสน บางทีต้องใช้เวลาบินถ้าห้าหกชั่วโมง ไร่ปศุสัตว์หรือโฮมสเตดก็มีขนาดมหึมาเกือบจะเท่ารัฐลูเซิร์นอาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำ พวกเขาจึงได้มีเฮลิคอปเตอร์ใช้บินกันเป็นว่าเล่น ฉันมาจากประเทศเล็กๆ ที่มีเนื้อที่เพียง 41,293 ตารางกิโลเมตร ระยะทางที่ไกลที่สุดจากเหนือไปใต้ก็เพียง 220 กิโลเมตร และจากตะวันออกจดตะวันตกก็เพียง 348 กิโลเมตร เมื่อต้องไปแดนจิงโจ้ที่เป็นทั้งประเทศและทวีปด้วยจึงงุนงงและงงงวยเป็นที่สุด สำหรับเราที่อยู่ประเทศสวิส ออสเตรเลียไกลจนสุดขอบฟ้า จึงไม่อาจจะไปกันได้ง่ายๆตามที่ใจปรารถนา เพราะฉะนั้นฉันจึงตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ทั้งๆที่เคยชินกับการเดินทางมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนฉันก็เปิ่นแบบนี้แหละค่ะ ก็ฉันมาจากบ้านนอกนี่คะ เมืองลูเซิร์นไม่ใช่เมืองหลวงสักหน่อย

เครื่องบินจากเมลเบิร์นไปแอร์สร็อคใช้เวลาถ้าห้าชั่วโมง พักที่แอร์สร็อคหนึ่งคืนแล้วจึงเดินทางไปอลิซสปริงโดยรถโค้ช คนขับเป็นชาวออสซี่ที่เกิดที่แอร์สร็อค ทำหน้าที่เป็นทั้งโชเฟ่อร์และไกด์ในคนเดียวกัน เขาดูแลเราตลอดเวลาที่อยู่ที่แอร์สร็อค และพากลับอลิซสปริงในวันรุ่งขึ้น ถามเขาว่าไม่เหนื่อยหรือที่ต้องใช้สมาธิขับรถพร้อมกับต้องคอยอธิบายอะไรต่ออะไรให้เราฟังอีกต่างหาก เขาตอบว่าชินเสียแล้ว ประกอบกับบริษัทท่องเที่ยวไม่มีเงินจ้างทั้งโชเฟ่อร์และไกด์ได้ถึงสองคนยกเว้นในกรณีพิเศษที่เขาต้องการไกด์ที่พูดภาษาต่างประเทศได้ เช่น เกาหลี จีน หรือญี่ปุ่น เป็นต้น ฉันสังเกตว่ามีไกด์ชาวออสซี่หลายคนที่พูดภาษาเหล่านี้ได้ดีที่เดียว

ภูมิประเทศสองข้างแลดูเขียวชอุ่มผิดกว่าที่คาดไว้ สอบถามได้ความว่าปีนี่มีฝนตกมากกว่าปกติ ดินทรายสีแดงที่ฉันเห็นแลดูเปียก ผิดกับทรายละเอียดสีน้ำตาลของทะเลทรายที่เคยเห็นในหลายประเทศแถบตะวันออกลาง ขณะที่รถวิ่งตะบึงไปข้างหน้า มีสัตว์เลื้อยคลานคล้ายตัวเงินตัวทองเลื้อนอยู่ตัวหนึ่งข้างทาง มาร์ติน คนขับจอดรถ ลงไปจับมันมาให้เราดู บอกว่าชาวออสเตรเลียเรียกมันว่า “Thorny Devil” เพราะมีรูปร่างประหลาดน่าเกลียด แถวยังมีหนามแหลมๆงอกอยู่ตลอดตัวอีกต่างหาก

เมื่อส่งเราที่โรงแรมเรียบร้อยแล้วมาร์ตินก็ลาจากไป เมืองอลิซสปริงเป็นอย่างที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้ เป็นเมืองเล็กๆซ่อนอยู่ในเทือกเขาที่เรียกว่า “แมคโดนัลด์เรนจ์” ชาวเมืองบอกว่าอลิซเป็นเมืองแห่งโรมานซ์ที่มีวิญญาณของนักผจญภัยอยู่ครบถ้วน ก่อตั้งเป็นเมืองขึ้นมาได้ก็เพราะชาวอังกฤษที่ชื่อว่า ชาร์ลส์ ทอดด์ ได้รับคำสั่งให้มาเป็นผู้บุกเบิกสร้างสถานีโทรเลข เพื่อเปิดประตูส่วนกลางของประเทศออสเตรเลียที่ลึกลับนี้ออกไปยังโลกภายนอกในปลายศตวรรษที่สิบเก้า ผู้คนจึงใช้ชื่อของภรรยาชาร์ลส์ คือ อลิซ เป็นชื่อเมืองซึ่งฉันเห็นว่าแสนจะโรแมนติก แม้ว่าจะมีคนพยายามเปลี่ยนชื่อเมืองไปเป็น “สจ๊วต” แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเขาเห็นว่าชื่อ “อลิซ” เหมาะสมดีแล้ว

ดูจากในรูป สถานีโทรเลข (The Overland Telegraph Station) ยังคงมีสภาพเหมือนในสมัยแรกเริ่ม สร้างห่างจากตัวเมืองในปัจจุบันออกไปเล็กน้อย แลเห็นสภาพก็รู้ว่าสร้างในลักษณะที่สามารถคุ้มกันได้ทั้งแสงแดดที่ร้อนแรงและในขณะเดียวกันก็ให้ความอบอุ่นจากความหนาวเย็นของอากาศแบบทะเลทรายทำให้ฉันคิดว่า เมืองอลิซในสมัยนั้นคงจะอ้างว้างโดดเดี่ยวสิ้นดี แม้ว่าในปัจจุบันจะมีถนนซูเปอร์ไฮเวย์อย่างดีเยี่ยมตัดผ่านอลิซก็ยังคงไว้ซึ่งความเงียบเหงา

เราว่าจ้างรถแท็กซี่ให้พาไปเที่ยวดูเมืองเป็นการส่วนตัวในวันรุ่งขึ้น โชคดีได้โชเฟ่อร์อายุกลางคนที่มีอัธยาศัยดีที่หน้ารถมีเหรียญตราจากประเทศต่างๆติดอยู่เต็ม เขาบอกว่าได้มาจากแขกที่มาเที่ยวจากประเทศต่างๆ ในเมื่อเขา “เปิดประตู” มาเช่นนี้ ฉันจึงสวมวิญญาณ “นักเขียน” ชวนเขาคุยโน่นคุยนี่ เขาเล่าให้ฟังว่าเป็นชาวนิวซีแลนด์โดยกำเนิด และได้มาอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ครั้งแรกเมื่อออกจากประเทศนิวซีแลนด์ใหม่ๆ ก็ไปทำงานอยู่ที่ควีนสแลนด์ ตอนพักร้อนจึงถือโอกาสมาเที่ยวเมืองอลิซ เพราะเคยอ่านเรื่องของนายเนวิล ชู้ต เช่นเดียวกันฉันเหมือนกัน เคยได้ดูหนังด้วย เขาตั้งใจจะมาเที่ยวเพียงอาทิตย์เดียวแล้วก็จะกลับไปทำงานต่อ แต่กลับตาลปัตรอยู่เสียสิบแปดปี เพราะเกิดตกหลุมรัก “แม่อลิซ” ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็น

เขาบอกว่า เย็นวันหนึ่งเพื่อนชวนไปปาร์ตี้ เกิดไปปิ๊งผู้หญิงชาว “อลิซ” เข้าคนหนึ่ง เลยขอเจ้าหล่อนเต้นรำด้วยทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหล่อนชวนไปบ้าน เขาจะติดใจในความมีอัธนาศัยดีของหล่อนแต่อย่างเดียว หรือว่าจะติดใจอย่างอื่นด้วย ฉันก็ไม่ได้ถาม หล่อนบอกเขาว่าเป็นม่าย มีลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว หล่อนมีอายุแก่กว่าเขาถึงยี่สิบสี่ปี ถึงอย่างนี้แล้วเขาก็ยังไม่รีนอที่จะขอหล่อนแต่งงาน ไม่รู้ว่าจะแต่งเอาพาสปอร์ตออสเตรเลียหรือเปล่า หล่อนก็โอ.เค.ด้วย

ปัญหาก็คือลูก เพราะทั้งลูกชายและลูกสาวต่างก็ขัดขวาง ไม่อยากให้แม่แต่งงานกับคนแปลกหน้า แถมยังเป็นชาวกีวีอีกต่างหาก หัวนอนปลายเท้าก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน อาจจะมาปอกลอกหลอกลวงเอาสตางค์ของแม่ก็ได้ เพราะหล่อนก็พอจะมีสตุ้งสตางค์อยู่บ้าง แต่ที่เขาเปรียบว่าความรักเหมือนโคถึกนั้นเป็นความจริง อายุไม่ใช่เครื่องกีดกั้นมิไยใครจะทักท้วง เขาก็แต่งงานอยู่กินกันจนได้ ปัจจุบันนี้ก็ได้สิบแปดปีพอดีเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้เขาเข้ากับลูกๆของหล่อนได้ดี

เขาแถมท้ายว่า ไม่มีสิ่งใดจะมาทำให้ความรักที่เขามีต่อภรรยาจืดจางลง ต่อให้เอาผู้หญิงสาวๆ มาแลกก็ไม่ยอม ไม่รู้พูดปลอบใจตัวเองหรือเปล่า

ฟังเรื่องของเขาแล้วฉันเห็นว่าโรแมนติกเหลือหลาย ก็เลยเก็บมาเล่าให้ฟัง ระหว่างทางที่นั่งมาใครเครื่องบินเพื่อไปเมือง “แคร์นส์” อยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำ ฉันกับวอลเตอร์มาลองคำนวณกันเล่นๆว่า ภรรยาของเขาในขณะที่เขาขอแต่งงานด้วยนั้นจะอายุสักเท่าไร และในปัจจุบันจะมีอายุเท่าไร เราบวกลบคูณหารกันอย่างเคร่งเครียด สรุปได้คร่าวๆว่า สมมติว่าในปัจจุบันชายคนนี้มีอายุ 55 ปี ความจริงเขาดูแก่กว่านั้นมาก แต่เราพยายามยกประโยชน์ให้จำเลย ก็เลยตีว่า 55 ลบด้วย 18 ตอนเขาแต่งงานก็อายุ 37 ภรรยาแก่กว่า 24 ปี ตอนแต่งงานกัน ภรรยาเขาคงมีอายุได้ 61 ปี ถ้าเดี๋ยวนี้เขามีอายุที่เรากะกันเอาไว้อย่างใจกว้างเป็นที่สุด คือ 55 ในปัจจุบันภรรยาเขาก็คงมีอายุ 79 ปีน่ะสิ ว้าย อกอีแป้นแตก อะไรจะขนาดนั้น หล่อนมีอะไรดีที่หญิงอื่นไม่มีหรือเป็นสาวสองพันปีแบบผู้หญิงสาวของเมืองในหมอกในเรื่อง “Brigadoon” หรือเปล่าเนี่ย

เล่า เรื่องนี้แล้วก็ทำให้นึกถึงหญิงแก่ชาวสวิสคนหนึ่ง อายุเกือบแปดสิบได้มีนิวาสสถานอยู่แถบเมือง “ซังต์กัลเลน” (St. Gallen) ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เป็นคนมีสตางค์ แถมยังใยบุญสุนทานอีกต่างหาก ถ้าเป็นหญิงแก่ไทยก็คงจะเป็นประเภทเอาเงินไปทอดกฐินสร้างวัดวาอาราม หรือถวายพระยันตระเอ๊ย พระสงฆ์องค์เจ้าให้ได้อยู่ดีกินดีจะได้มีเรี่ยวแรงเทศนาให้คนทำความดีแกอยู่ตัวคนเดียว เป็นม่ายมานานนักหนาแล้ว ลูกเต้าหลานเหลนอะไรก็ไม่มีให้ถลุงเงินทอง อยู่มาวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมาประกาศว่าจะแต่งงานกับหนุ่มอายุยี่สิบแปด เป็นชายหนุ่มรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย เพราะเป็นชาวทมิฬ ลี้ภัยมาจากประเทศศรีลังกา ประเทศสวิสให้ความช่วยเหลือเลี้ยงเอาไว้

อันที่จริงแกก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาประกาศเอาดื้อๆ หรอก ที่ประเทศนี้น่ะเขาต้องไปแจ้งความจำนงว่าจะแต่งงานที่ “เกไมน์เด้” หรือ “คอนมูน” ของตนแล้วเจ้าหน้าที่เข้าก็จะเอาประกาศไปติดไว้ที่บอร์ดว่าหญิงคนนี้ชื่อนี้จะแต่งงานกับชายคนนี้ชื่อนี้ สัญชาตินี้ ฯลฯ ใครมีอะไรขัดข้องที่จะคัดค้านไม่เห็นด้วยก็ให้แจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษร เผื่อว่าชายนี้หรือหญิงนี้อาจจะมีคู่ครองแอบซ่อนอยู่ตามต่างจังหวัดเวลาไปรับราชการก็ได้ ของแบบนี้มันบ่แน่หรอกนาย

อย่างที่บอกแล้ว หญิงคนนี้ไม่มีลูกหลานให้คอยปรึกษา ชาวบ้านเลยนัดกันมาชุมนุมที่สภากาแฟ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องใช่ราวของตัวเองสักนิด หมูเขาจะหาม เกิดจะเอาคานเข้าไปสอด พวกเขาลงความเห็นว่าจะต้องป้องกันเพื่อนร่วมชาติที่น่าสงสารจากการกระทำอันโง่เขลาให้จงได้ มีอย่างหรือ แก่จะตายอยู่แล้ว จะลุกขึ้นแต่งงานกับไอ้หนุ่มจากศรีลังกาที่ไม่มีแม้แต่ในอนุญาตจากทางการให้อยู่ในประเทศได้อย่างถาวรลี้ภัยจากประเทศตนเองมาโดยบอกว่าเป็นเพราะการเมือง เกรงว่าจะถูกตามล่าฆ่าให้ตาย จะมีลุกมีเมียอยู่ที่บ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อไรที่เหตุการณ์ในบ้านเมืองของตนเองสงบลง ทางประเทศสวิสก็จะให้เขากลับประเทศ ไยเลยจะโง่เง่าไปแต่งงานกับเขาให้เอาสมบัติไปกินไปใช้ที่ประเทศของเขาสบายแฮ

หญิงแก่คนนี้ก็เต้นเร่า ยายไม่ย้อมยายไม่ยอม ก็ยายรักเขานี่ เขาเป็นคนดีน่าสงสาร อ้างว้างว้าเหว่ พลัดที่นาคาที่อยู่มาจากแดนไกล ไม่มียาติพี่น้องที่ไหนในประเทศนี้ มีก็แต่ยายคนเดียวแล้วเขาก็รักยายเหลือเกิน ปรนนิบัติพัดวีเอาอกเอาใจทุกอย่าง ทำให้ยายมีเพื่อนคุย ไม่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างเมื่อก่อน ถ้ายายแต่งงานกับเขา เขาจะได้มีประเทศที่ปลอดภัยอยู่เป็นการถาวรไม่ต้องร่อนเร่เป็นเจ้าไม่มีศาลอีกต่อไปแม้ชาวบ้านจะไม่เห็นด้วยและร่วมประชุมคัดค้านกันแบบหัวชนฝาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคุณยายไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย

ในที่สุดเขาทั้งสองก็แต่งงานอยู่กินกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสักสองสามปีมาแล้ว เสียดายที่ฉันไม่รู้ตอนจบว่าสามีหนุ่มจะทำให้ยายวาบหวามมีความสุขจนหัวใจวายตายคาเตียง หรือว่าต้องระทมขมขื่นลากสังขารอันเหี่ยวย่นมาปรนนิบัติพัดวีสามีหนุ่มในยามชราใกล้จะตายแบบนี้ ฉันก็ได้แต่วาดภาพเอาตามเรื่องตามประสาคนสอดรู้สอดเห็น มีโอกาสเมื่อไรจะลองไปเที่ยว “ซังต์กัลเลน” ดูเผื่อจะได้สอบถามคนแถวนั้นเรื่องนี้อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องลงเอยอย่างไร

ที่ เมืองอลิซมีชาวอเมริกันอาศัยอยู่ประมาณหนึ่งพันห้าร้อยคน นัยว่ามาทำงานเกี่ยวกับยานอวกาศอะไรสักอย่างแต่ชาวพื้นเมืองสงสัยว่าอาจจะมีพวกซีไอเอของอเทริกันมาป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซีย ทหารอเมริกันต้องการจะใช้เมืองอลิซตั้งฐานจรวด แต่ชาวเมืองไม่ยินยอม

นอกจากนี้แล้ว อลิซมีโรงเรียนที่เรียกว่า “Alice Springs School of the Air” ที่สอนเด็กอายุตั้งแต่สี่ขวบครึ่งจนถึงสิบสามที่อยู่ในเขตห่างไกล หรือที่เรียกกันว่า “เอ๊าท์แบ๊ค” โดยทางวิทยุไฮไฟมีการติดต่อกับครอบครัวของเด็กๆโดยเครื่องมือสื่อสารประเภทต่างๆ รวมทั้งคอมพิวเตอร์ มีโรงเรียนแบบนี้อยู่ประเภทเดียวในโลก จัดว่ามีเนื้อที่ในชั้นเรียนที่ใหญ่ถึง 1.3 ล้านตารางกิโลเมตรเสียดาย ตอนที่เราไปอยู่ในระหว่างปิดเทอมฤดูร้อน ไม่เช่นนั้นฉันคงขอเข้าไปชมการทำงานของพวกเขา เพราะทึ่งมานานแล้ว เมืองอลิซมีอีกอย่างหนึ่งที่แปลกไม่เหมือนใคร คือ สำนักงาน “บริการทางการแพทย์ด้วยการบิน” (Royal Flying Doctor Service) อีกต่างหาก ตั้งขึ้นโดยนายจอหืน ฟลินน์เพื่อบินไปรักษาคนเจ็บป่วนที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ ฉันเคยดูแต่ในหนัง ไม่มีโอกาสได้ดูของจริง แต่ก็ชื่นชมพวกเขามาก ปัจจุบันนี้พวกหมอไม่ค่อยจะบินไปรักษาคนป่วยที่อยู่ฟาร์มใน “เอ๊าท์แบ๊ค” อีกแล้ว ได้แต่วินิจฉัยโรคและให้คำแนะนำรักษาทางวิทยุ ส่วนนายจอห์น ฟลินน์ ได้ตายไปแล้ว และศพของเขาก็ฝังอยู่ทางตะวันตกของเมืองอลิซ ห่างออกไปประมาณ 6 กิโลเมตร

เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าอลิซจะเป็นเมืองเล็กๆ มีแต่เพียงถนน Todd แต่เพียงสายเดียวตัดผ่าน ฉันก็ยังเล็งเห็นถึงวิญญาณที่ซ่อนเร้นอยู่ในเมือง “อลิซ แม่เนื้อหอม” อยู่ดี ก็ฉันตกหลุมรักพ่อ “โจ ฮาร์แมน” ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นเมืองนี้เสียด้วยซ้ำไปนี่คะ