ช่วยด้วย ฉันโดนเห็บ (เมือง) จีนกัด

ก่อนอื่นขอออกตัวว่าไม่มีความเชี่ยวชาญในภาษาจีนกลางหรือแมนดารินแต่อย่างใด ความรู้ภาษาจีนที่มีอยู่ได้มาจากครูชาวจีนที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เซี่ยงไฮ้

โจนาธานมาสอนภาษาจีนให้ที่บ้านสัปดาห์ละสองครั้ง ภาษาและสำเนียงที่ได้เรียนรู้มาจากครู หากมีสิ่งผิดพลาดก็ขออภัยคุณผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ถือว่าเป็นการ “อ่อน” ภาษาจีนของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว

เราบินไปถึงเซี่ยงไฮ้ในวันศุกร์ที่สิบหกมกราคม ยามเย็นในฤดูหนาวมาถึงอย่างรวดเร็ว ความมืดขมุกขมัวค่อยๆคืบคลานเข้ามา หมอกอันหนาทึบปกคลุมอยู่ทั่วไปจนมองถนนหนทางไม่ค่อยจะเห็น อากาศหนาวเย็นยะเยือกด้วยรมแรง ความคิดถึงประเทศ (สวิส) ที่เพิ่งจะจากมาไม่มีอยู่เลยสักนิดเดียวในสมอง ทั้งๆที่เป็นบ้านของตนเองมาเนิ่นนานหลายปี

ถ้าความตื่นเต้นจะมีอยู่บ้าง ก็เป็นความรู้สึกแปลกในหัวใจที่ได้มาเหยียบผืนดินของประเทศที่จะไปใช้ชีวิตอยู่อย่างน้อยๆก็ห้าหกปี ประเทศใหม่ ชีวิตใหม่ ความเปลี่ยนแปลงย่อมมีรสชาติน่าตื่นเต้นเสมอ

เราพักที่โรงแรมเพียงคืนเดียวแล้วก็ย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดที่ได้มาทำสัญญาเช่าเอาไว้ตั้งแต่ปีกลาย “รีเจนท์ ทาวเวอร์” เป็นคอนโดสูงสามสิบสามชั้นตั้งอยู่ในตำบล “หงเฉา” (Hong Qiao) ไม่ใช่ “หงเฉียว” อย่างที่หลายคนออกเสียงหงเฉาอยู่ห่างจากสนามบินชื่อเดียวกันไปเพียงสิบห้านาที เป็นแหล่งที่ชาวเซี่ยงไฮ้ เรียกว่า “โซนเศรษฐกิจใหม่” เพราะเป็นทำเลที่ถือกันว่ายอดเยี่ยม (prime area) มีโรงแรมชั้นดีหลายแห่ง มีคอนโดหรูๆเอาไว้ให้เช่าหรือซื้อ ตึกของเวิลด์เทรดก็อยู่ที่นี่ กงสุลประเทศสวิสเซอร์แลนด์อยู่ห่างออกไปเพียงถนนเดียว

นอกจากนั้นร้าน “เฟรนด์ซิป สโตร์” ก็อยู่ติดๆกัน เราจึงพอใจที่จะมาเช่าคอนโดนี้มากกว่าที่จะไปเช่าบ้านหรือที่คนที่นี่เรียก “วิลล่า” อยู่ ทั้งๆที่ค่าเช่าก็พอๆกัน แถมที่วิลล่ายังมีสวิมมิ่งพูลส่วนตัวให้อีกต่างหาก แต่เราก็ไม่สนใจ เพราะความสะดวกดังกล่าวมาแล้ว

วันแรกที่ย้ายเข้าไป คอนโดที่เคยเห็นว่าสบายเมื่อตอนมาทำสัญญาเช่าเมื่อปีกลายนั้น ได้กลายสภาพเป็นตู้น้ำแข็งไปเสียแล้ว และภายในตู้น้ำแข็งนี้ช่างหนาวจับใจ เยือกเย็นจนปวดกระดูกเนื่องจากเราเป็นผู้เช่าครอบครัวแรกและครอบครัวเดียวบนชั้นสิบหก ส่วนชั้นสิบเจ็ดที่อยู่เหนือขึ้นไป และชั้นสิบห้าที่อยู่ต่ำลงไปยังคงว่างเปล่าไม่มีคนเช่าจึงไม่มีไออุ่นจากเครื่องทำความร้อนเล็ดลอดมาเลย ทำให้สภาพภายในคอนโดกลายเป็นขั้วโลกเหนือไปในฤดูหนาว

ในวันแรกเราเปิดฮีทเตอร์จนเครื่องแทบจะพัง แต่มันก็ไม่ช่วยให้ห้องอุ่นขึ้นมาสักเท่าไร ต้องใช้เวลาห้าหกวันกว่าห้องของเราจะอุ่นขึ้นพอจะอยู่ได้โดยไม่ต้องสวมเสื้อโค๊ตตลอดเวลาภายในบ้าน ความหนาวกับเรานั้นคุ้นเคยกันดี เพราะประเทศสวิสเป็นประเทศหนาว แต่ที่บ้านของเราที่สวิสมีการก่อสร้างแตกต่างออกไป ไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้ วอลเตอร์(สามี) เองเวลาไปออฟฟิศยังต้องใส่ชั้นในแบบที่เรียกว่า “ลองจอห์น” ที่เขาใช้ใส่ไว้ข้างในเวลาไปเล่นสกีตอนอยู่สวิส

ความหนาวและเพลียทำให้อ่อนแอ คิดสงสารตัวเอง ในขณะที่เดินตัวงอก่องอขิงด้วยความหนาว ในสมองก็คิดวนเวียนอยู่ด้วยคำพูดของมนุษย์ปากพล่อย ซึ่งในยามที่มีร่างกายแข็งแรงฉันไม่เคยเสียเวลาคิดให้เปลืองสมองเลยคำพูดเหล่านั้นกลับมาก้องอยู่ในหู

“โอ๊ย ตายแล้ว อยู่สวิสสบายๆจะย้ายไปอย่เมืองจีนได้ยังง้าย” เสียงชาวสวิสผู้ไม่รู้ว่าหวังดีหรือหวังร้ายร้องลั่น ส่วนอีกเสียงหนึ่งก็พูดอย่างกระฟัดกระเฟียดยังกะโดนผึ่งในฤดูใบไม้ร่วงต่อยว่า “เราไม่สนับสนุนหรอกนะคนที่ไปเที่ยวเมืองจีนหรือคนที่ไปอยู่เมืองจีนนะ ใครๆก็รู้ รัฐบาลจีนโหดร้ายไม่เคารพสิทธิมนุษย์ชน จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989 ไม่ได้หรือยังไง”

ชาวสวิสรายนี้ไม่ต้องสาธยายใครๆก็รู้ว่าพูดด้วยความริษยาเต็มขีดเพราะตนเองวางแผนจะไปเที่ยวเมืองจีนตั้งแต่ปรกลาย แต่ต้องเลิกล้มไปเพราะเอาวีซ่าเข้าประเทศจีนไม่ได้ เนื่องด้วยไม่มีจดหมายเป็นทางการเชิญมาจากเจ้าของประเทศ เขากะจะไปกันเองโดยไม่ผ่านสำนักงานท่องเที่ยว เพราะไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียม มีผู้เชื่อถือได้เล่าว่า นอกจากนั้นแล้วงบประมาณที่เขาตั้งไว้มีไม่พอ เลยไปเที่ยวประเทศคอสตาริกาแทน ก็ได้แต่ความผิดหวังกลับมา แทนที่ฮอลิเดย์จะเต็มไปด้วยความชื่นบาน กลับกลายเป็นชื่นแล้วหุบ เพราะประสบกับปัญหาต่างๆที่ไม่เคยคิดมาก่อนในประเทศนั้น

มีอีกเหมือนกันที่ให้ความเห็นว่า “ก็ดีนะ ไปอยู่เมืองจีน ถ้ามีโอกาสก็อยากไปอยู่เหมือนกันแหละ คงจะตื่นเต้นดี” ฯลฯ ก็แล้วแต่จะวิพากษ์วิจารณ์กันไป

ส่วนพี่ชายคนโตนั้นบ่นเป็นหมีกินผึ่งมาตามสายโทรศัพท์ “หาเรื่อง จะไปอยู่ทำไมเมืองจีน ประเทศนั้นส้วมนั้นสกปรกจะตาย (ห่ะ) หล่อนน่ะเป็นมิสคลีนสุดๆไม่ใช่หรือ คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้วดันไปอยู่ได้กับพวกอาหรับที่ประเทศคูเวต ตอนนั้นก็ไม่อยากพูดมากหรอก (วะ) ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่คงอยากจะไปหาประสบการณ์ ตอนนี้แก่แล้วยังไม่คิดเจียมตัว”

แหม ก็พี่ชายของฉันน่ะ ท่านได้แต่นั่งรถผ่านไปผ่านมาในกรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ เคยเห็นแต่ความรกรุงรังตามถนนหนทางและบ้านเรือนโกโรโกโสที่มีแต่ผ้าขี้ริ้วแขวนไว้เต็ม ไม่เคยได้ไปสัมผัสกับชีวิตที่แท้จริงของชาวบ้านแล้วจะมาโมเมแบบนี้ได้ยังไง นอกจากส้วมสกปรกของจีนแล้ว พี่ท่านรู้จักเมืองจีนก็เฉพาะแต่ภายในโรงแรมห้าดาวและเรือสำราญหรูๆหรอกค่ะอย่างเก่งก็ได้แต่เที่ยวตามสถานที่ที่เขาจัดไว้ให้นักท่องเที่ยวดูเท่านั้นแล้วท่านจะมาตั้งตัวเป็นเซียนห้ามฉันไปอยู่เมืองจีนได้ยังไง รู้ละว่าเป็นห่วง แต่หนูน่ะโตแล้วนะพี่

มิใยใครจะพูดอย่างไร เราก็ไม่หวั่นไหว ได้รับปากกับบริษัทแล้วว่าจะไปดูแลกิจการที่นั้นให้ ก็จะทำตามสัญญาจนสุดความสามารถ แล้วเราก็จากไป ทิ้งบ้านที่สวิสไว้ในความดูแลของเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้

ความคิดวนเวียนของฉันต้องหยุดซะงักลง เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะแข็งตายอยู่รอมร่อในตู้เย็นแห่งนี้ จึงกะว่าจะลงไปแช่น้ำอุ่นในอ่าง แต่นึกขึ้นได้ว่าไม่มีผ้าเช็ดตัวติดกระเป๋าเดินทางมาเลยเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านสิบห้าหีบที่ส่งมาจากสวิสยังมาไม่ถึง รีบลงลิฟต์เพื่อไปหาซื้อผ้าเช็ดตัวที่คิดว่าคงจะมีขายที่ “เฟรนด์ชิปสโตร์” เดินขึ้นเดินลงบันไดเลื่อนตั้งแต่ชั้นล่างไปถึงชั้นสี่ จากชั้นสี่ลงไปชั้นล่าง ไม่มีผ้าเช็ดตัวแม้สักผืนเดียววางขาย แล้วนี่จะทำอย่างไร เพิ่งมาอยู่เมืองนี้ได้เพียงวันเดียว เขาขายอะไรที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย

ความเหนื่อยและเพลียทำให้ฉันกลายเป็น “เจ้าแม่กระปอดประแปด” ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงบ่นอย่างหงุดหงิดกับคนข้างเคียงว่า “ฉันว่าคนจีนไม่รู้จักหรอกว่าผ้าเช็ดตัวเป็นอย่างไร เขาคงไม่เคยใช้ จะเคยเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้”

วอลเตอร์ตอบอย่างอารมณ์ดี (ตามแบบฉบับของเขา) ว่า “ต้องรู้จักสิไม่งั้นอาบน้ำเสร็จแล้วเขาจะเช็ดตัวให้แห้งได้ยังไง”

ในที่สุดเราก็สิ้นความพยายามเดินไปซื้อผ้าบางๆยาวๆที่เขามีเอาไว้ถูตัวมาได้ห้าหกผืน ปลอบตนเองว่าใช้ไปก่อนก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันของของเราก็มาถึงแล้ว หากคนจีนใช้ผ้าแบบนี้เป็นผ้าเช็ดตัวได้ เราก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันก็นึกเสียวๆว่า หากคนจีนไม่รู้จักแม้แต่จะใช้ผ้าเช็ดตัวจะมีอะไรอีกบ้างที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่แล้วเขาไม่ใช้กัน

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ของที่เราส่งมาจากสวิสก็มาถึง ในนั้นมีผ้าเช็ดตัวรวมอยู่ด้วยยี่สิบผืน วอลเตอร์อยู่บ้านกับฉันเพียงวันเสาร์กับวันอาทิตย์เท่านั้นพอวันจันทร์มาถึงเขาก็ไปทำงาน ทิ้งฉันให้อยู่เผชิญกับโชคชะตาตามลำพัง

ในห้องน้ำสองห้องของเรามีอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน แต่พื้นหินอ่อนสีสวยยังเย็นเฉียบ ฉันต้องรีบไปหาซื้อพรหมมาปู หาเท่าไรก็ไม่ได้ที่เหมาะสมถูกใจ จึงจำใจซื้อที่เขามีวางขายอยู่แก่ขัดไปก่อน เป็นสีชมพูอ่อนหวานมีลวดลายแบบที่คนจีนชอบขณะที่เดินซอกซอยไปหาพรหม ก็ไปพบชั้นวางผ้าเช็ดตัวขายอยู่เต็ม จะเอาสีไหน ชนิดไหน มีให้เลือกทั้งนั้น แต่วางอยู่ในที่ที่ไม่มีมนุษย์คนใดคิดไปถึง คืออยู่หลังชั้นขายกระเป๋าหนังอพิโธ่เอ๋ย หลงเข้าใจผิดไปดูถูกเขาว่าไม่รู้จักใช้ผ้าเช็ดตัว เราโง่เองต่างหากไม่รู้จักหาให้ดีเอง

อยู่เมืองนี้ไม่ช้าไม่นานฉันก็ได้ค้นพบความจริงอีกข้อว่า หากต้องการซื้อสิ่งใดก็ต้องไปเดินดูให้ทั่ว จะมานึกคาดเอาเองในแบบตะวันตกในประเทศนี้ไม่ได้ เพราะเขาคิดทำอะไรไม่เหมือนเรา คิดจะวางของไว้ขายที่ไหนเขาก็วางจะเข้าหมู่หรือเข้าหมวดไหนก็เป็นเรื่องของผู้ซื้อที่จะต้องใช้ “จินตนาการ” เอาเอง เซ่อนักก็กลับไปอยู่สวิสไป๊

ช่วงระยะเวลาที่อยู่เซี่ยงไฮ้ได้ห้าหกเดือน ฉันสังเกตว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การจัดวางของขายตามยถากรรมค่อยๆหมดไป สินค้าเริ่มจะมีการจัดให้เป็นหมวดหมู่และวางอยู่ในที่ที่ควรจะวาง ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้ฉันมีโฮมลีฟที่สวิส ไปตีกอล์ฟพบชายชาวสวิสคนหนึ่ง บอกฉันว่าเขาเคยไปเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 1979 ป่านนี้คงจะเปลี่ยน แปลงมากมาย ฉันหัวเราะตอบว่า เซี่ยงไฮ้เปลี่ยนทุกวัน อย่าว่าแต่ช่วงเวลายี่สิบปีเลย ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ของเราก็ใช้เวลาสร้างเพียงแปดเดือนเท่านั้นสร้างกันทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หยุดเลย เขาใช้คนงานนับไม่ถ้วน แถมจะทำอะไรก็ไม่ต้องขออนุญาตจากใครให้ยุ่งยากจะสร้างหรือจะย้ายอะไรเมื่อไรก็ได้

เล่าแล้วเหมือนนิยายโกหก เคยนั่งรถผ่านถนนที่เต็มไปด้วยแฟรตของคนจีนหลายหลังใต้ทางด่วน รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง แฟรตที่เคยอยู่หยกๆอันตรธานไปเสียแล้ว คนขับรถของเราเล่าว่า ทางการได้ใช้ระเบิดทำลายแฟรตเหล่านั้นในตอนเช้ามืด เพราะต้องการขยายถนน ส่วนคนที่เคยอยู่ที่นั่นเขาก็จัดที่ใหม่ไว้ให้ จะชอบใจหรือไม่ก็ต้องการย้าย สนุกชะมัดเลย

อพาร์ตเม้นต์ของเรามีหน้าต่างกระจกล้อมรอบ จึงแลเห็นวิวหลายด้านหากไม่มีอะไรทำ เพียงแต่ยืนบนระเบียงห้องรับแขก แล้วมองลงไปที่ท้องถนนเบื้องล่างก็แสนจะตื่นเต้น ไม่มีอะไรน่าเบื่อสักนิด ชะโงกหน้าออกไปจากระเบียงทางด้านขวามือจะแลเห็นซูเปอร์ไฮเวย์ที่พึ่งเล่าให้ฟังเมื่อสักครู่มองไกลไปอีกด้านหนึ่งในยามที่อากาศแจ่มใส จะแลเห็นหอคอยของสถานีโทรทัศน์อยู่เบื้องหน้า ใต้ระเบียงใกล้ๆเป็นโรงเรียนมัธยม (middle school)

เช้าๆบ่ายๆ จะได้ยินเสียงจากโทรโข่งบอกให้นักเรียนเข้าแถว ได้ยินเพลงมาร์ชปลุกใจให้พวกเขาออกกำลังกาย เด็กนักเรียนแต่งตัวด้วยเครื่องแบบสีสันสดใส เป็นสีเขียวบ้าง สีฟ้าบ้าง สีแดงบ้าง สลับกันแทบทุกวัน

วิวอีกด้านหนึ่งเป็นตึกใหม่ที่กำลังจะสร้าง ตอนที่เราย้ายเข้าไปอยู่ที่คอนโดใหม่ๆ ที่ดินผืนนั้นยังราบเป็นหน้ากลองไม่มีวี่แววว่าจะมีการก่อสร้างแต่อย่างใดมาบัดนี้ตึกระฟ้ากำลังจะสร้างแล้วเสร็จอยู่รอมร่อ เวลาตื่นขึ้นมากลางดึกหิวน้ำเดินเข้าครัวไปหาน้ำดื่มในตู้เย็น แสงไฟจากสปอตไลท์สองดวงสว่างจ้าส่องเข้ามาทางหน้าต่างครัวจากสถานที่ก่อสร้างไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ

ยังคิดเล่นๆว่าพวกคนงานก่อสร้างจะจับไข้หัวโกร่นหรือไม่หากเขาเผชิญเหลือบตาขึ้นมาเห็นเปรตเดินโท่งๆ หาน้ำกิน กฎหมายของประเทศนี้เขาห้ามทำอะไรที่ถือว่า “อุจาด” เสียดาย แม้แต่ในบ้านเรือนของตนเอง ถ้าทำมิดชิดชาวบ้านไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเห็น ตำรวจก็อาจจะยัดเยียดข้อหา “อนาจาร” เข้าให้ง่ายๆ

พวกคนงานก่อสร้างทำงานกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่มีการพัก คิดว่าคงจะแบ่งวันหนึ่งออกเป็นสามกะผลัดเปลี่ยนกันไปกะละแปดชั่วโมงเดี๋ยวนี้ประเทศจีนมีกฎหมายแรงงานออกมาคุ้มครอง คือให้ทำงานได้โดยเฉลี่ยอาทิตย์ละห้าวัน แต่จะมีผลแค่ไหนฉันไม่อาจจะบอกได้

ก็ไม่น่าจะประหลาดใจเท่าไรนักถ้าใครเคยเห็นความมโหฬารของกำแพงเมืองจีนมาแล้ว หรือว่าได้เห็นคลองที่เขาใช้แรงคนขุดซึ่งมีความยาวถึงหนึ่งพันหกร้อยกิโลเมตร ชาวจีนเป็นชาติที่มานะขยันหมั่นเพียร และอดทนเป็นเลิศ

ฉันจะไม่แปลกใจแม้แต่ซักนิดหากว่าประเทศจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่งของโลกภายในระยะเวลาอีกไม่นานเกินรอสาเหตุนี้กระมังจึงทำให้รัฐบาลสหรัฐฯพยายามสร้างข้อกล่าวหาจีนอยู่เนื่องๆในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิมนุษย์ชน เพื่อชาวโลกจะได้เอาตัวออกห่างไม่อยากทำธรุกิจกับจีน

แต่ไม่ว่าใครจะกล่าวหาจีนว่ากะไร ก็เป็นแบบมือถือสากปากถือศีลประเทศไหนๆ ก็อยากไปทำธุรกิจกับจีนกันทั้งนั้นแหละ เพียงรัฐบาลจีนยิ้มชาวโลกก็หัวเราะกันจนพุงกระเพื่อมแล้วละ เมื่อไรที่จีนมีอำนาจยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ พี่ท่านเพียงแต่จามฟืดเดียวชาวโลกคงจะถึงกับเป็นไข้หวัดกันเป็นแถว หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง

ประเทศใดที่มีพลเมืองสิบสามพันล้านเช่นประเทศจีน การปกครองประเทศก็ต้องย่อมต้องเป็นอีกระบบหนึ่ง ฉันเคยคิดเสมอว่า ประเทศจีนมิใช่ประเทศเดียว แต่เป็นหลายๆประเทศรวมกัน เขามีทั้งภาษาขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเป็นอยู่ และศาสนาที่แตกต่างออกไป ดังนั้นในความเห็นส่วนตัว ฉันว่าการจะเอาระบบที่ถึงแม้ว่าชาวโลกทั่วไปจะเห็นว่า “ดี” ไปใช้กับประเทศที่ใหญ่มหาศาลเช่นประเทศจีนคงจะไม่ง่ายนัก

ดูโซเวียตรัสเซียเป็นตัวอย่างก็ได้ สหภาพโซเวียตสลายตัวไปแล้วมีอะไรดีๆเกิดขึ้นบ้าง นอกจากความแตกแยกและสงคราม มีประเทศเล็กประเทศน้อยใหม่ๆเกิดขึ้นจนนับไม่ถ้วนอันที่จริงชาวโลกควรจะขอบใจประเทศจีนที่เขาสอนให้คนในประเทศมีความสามัคคีและภาคภูมิใจในความเป็น “จีน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฮ่องกงได้กลับคืนมาเป็นของจีนอีกครั้งหนึ่งความภูมิใจจะทำให้เขาพยายามสร้างประเทศให้เจริญรุ่งเรือง ประชาชนจะมุ่งอยู่แต่ในเรื่องการทำมาหากินเพื่อความอยู่ดีกินดี ไม่หันหน้าเข้าหาสงครามจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

เวลาหกโมงเช้าในฤดูหนาวยังมืดขมุกขมัวฉันตื่นขึ้นมาเดินไปที่หน้าต่างทางด้านซ้ายมือของห้องนอน ไม่ต้องเปิดม่านหนาหนักทึบด้วยไม่เคยรูดปิดเพราะชอบนานดูแสงไฟระยิบระยับของเมืองเซี่ยงไฮ้ในยามค่ำคืน ในปาร์คเล็กๆเต็มไปด้วยผู้คนที่มารำดาบออกกำลังกายตอนเช้า แลดูน่าสนุก ฉันยืนมองด้วยความสนใจอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ วันหนึ่งอดทนมองอยู่ไม่ได้ จึงตัดสินใจลงไปร่วมวงกับเขาด้วย นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันได้กลายเป็นชาวต่างชาติอีกคนหนึ่งที่โดนเห็บ(เมือง)จีนกัด

เป็นการยากสำหรับชาวต่างชาติที่เมื่อเข้าไปอยู่ในประเทศจีนแล้วจะมีความรู้สึกเป็นกลางๆไม่ยินดียินร้ายคนส่วนใหญ่ที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศนี้มีความรู้สึกอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น คือ เกลียดจับใจ หรือคลั่งไคล้ (ในที่นี้อาจจะหมายถึงทั้งเกลียดและรักในคราวเดียวกัน) ชาวอังกฤษให้คำจำกัดความสำหรับคนที่มีความหลงในสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้อย่างน่าฟังว่า “TO be bitten by a bug”

ฉันจึงถือโอกาสสวมรอยพูดถึงตนเองว่า “I’ve been bitten by the Chine Bug” ฉันโดนเห็บของประเทศจีนกัด เพราะฉันหลงใหลเสน่ห์เมืองจีนเสียแล้ว