จดหมายจากลูเซิร์น ตอน “ก็ฉันไม่มีทางเลือกนี่จ๊ะ”

ฉันเพิ่งไปดินเนอร์ปาร์ตี้มาเมื่อวันศุกร์ที่ 6 นี้เอง มีเรื่องจะเล่าให้เธอฟังเธอคงสงสัยว่ากะอีแค่ไปกินดินเนอร์มามื้อเดียว ฉันถึงกับต้องเอามาโม้ด้วยเชียวหรือ เพราะไอ้งานอะไรพวกนี้ เราก็มีกันอยู่บ่อยๆ อดใจรอสักครู่นะจ๊ะฉันจะค่อยๆเล่าให้เธอฟัง

เธอรู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้พวกผู้บริหารระดับบิ๊กๆในประเทศนี้เขามีแฟชั่นใหม่ฉลองความสำเร็จของพวกเขาอย่างไร ในช่วงวันคริสต์มาสและปีใหม่

โดยปกติแล้ว ทุกๆปีก่อนจะถึงคริสต์มาสสลักหนึ่งอาทิตย์ พวกพนักงานทั้งของบริษัทเอกชนและของรัฐทุกคนต่างก็ได้รับโบนัส หรือที่เรามักจะเรียกกันว่าเงินเดือนของเดือนที่ 13 และในทุกปีทางบริษัทและสำนักงานมักจะจัดหางบประมาณเอาไว้ให้พนักงานได้ไปเลี้ยงฉลองกันในระหว่างพวกเขา โดยคนในครอบครัวจะเป็นสามีหรือภรรยาก็แล้วแต่จะไม่ได้รับเชิญให้ไปร่วมด้วย

ส่วนพนักงานระดับบริหารที่ฉันพูดถึงข้างต้นจะได้รับเชิญพร้อมภรรยา (หรือสามี แล้วแต่ว่าใครจะเป็นผู้เกี่ยวข้อง) ปีละสองครั้ง ในเดือนธันวาคมครั้งหนึ่ง และในเดือนมกราคมอีกครั้งหนึ่ง ความจริงการจัดปาร์ตี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะขอบคุณผู้บริหารที่ทำให้บริษัทได้กำไร ขณะเดียวกันก็เพื่อที่จะขอบคุณบรรดาภรรยาทั้งหลายที่มีความอดทนเสียสละ ยอมให้สามีอยู่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ บางทีก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวยามที่สามีเดินทางไปธุรกิจต่างประเทศ

เธออย่าเพิ่งหัวเราะและคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กแท้ๆ อย่าลืมว่าเราอยู่ในสังคมของสวิส (ฉันจะไม่ใช้คำว่าสังคมฝรั่งเพราะฝรั่งแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกันอีก) อันสังคมสวิสนี้ เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสังคมอนุรักษ์ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ค่อยจะสุงสิงกันเท่าไหร่ ชีวิตครอบครัวจึงมีความหมายมากกว่าเพียงการอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน เคยมีมาแล้วที่ภรรยาคนหนึ่งทนชีวิตแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป ตัดสินใจไปมีคนใหม่ ซึ่งถ้าแม้ว่าหน้าที่การงานของคนใหม่จะไม่สู้ดีนัก แต่เขามีเวลาให้เธอได้มากกว่าสามี

ไม่มีใครปริปากกล่าวโทษเธอเลยแม้แต่เพียงคนเดียว ฉันรู้จักเธอดีมากกว่าใคร เพราะเราเล่นเทนนิสอยู่ในคลับเดียวกันมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดสามีคนนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำงานในหน้าที่เดิมได้อีกต่อไป จำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในตำแหน่งใหม่ที่ไม่ต้องการความรับผิดชอบเท่าตำแหน่งเดิม พวกเราเห็นใจเขาด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ปาร์ตี้ในเดือนธันวาคมเป็นปาร์ตี้แบบมีพิธีรีตอง แต่ว่าหลังจากปาร์ตี้เลิกแล้ว เธออย่าได้เที่ยวไปหารูปหรือข่าวในคอลัมน์ซุบซิบให้เสียเวลาหรอกนะจ๊ะเพราะว่าไม่มี ทุกอย่างทำกันแบบ lowprofile จริงๆ คนสวิสส่วนใหญ่ระวังกันมากที่จะไม่ตกเป็นข่าวในเรื่องความหรูหราเพราะกลัวจะถูกหมั่นไส้ ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่ใครทั้งสิ้น

ส่วนปาร์ตี้ในเดือนมกราคมนั้นเป็นแบบสบายๆ เพราะย่อส่วนลงมา และก็ไม่มีแขกมากเท่ากับปาร์ตี้แรก ส่วนใหญ่เราจะไม่รู้ว่าปาร์ตี้ที่เราได้รับเชิญในเดือนมกราคมนี้จะจัดกันขึ้นที่ไหนและอย่างไรในบัตรเชิญเขาจะแจ้งแต่เพียงวันที่ เวลา สถานที่นัดพบ และจะต้องแต่งตัวอย่างไรเท่านั้น

เมื่อปีก่อนนั้นเป็นปีที่สนุกมากเพราะพอพวกเราลงจากรถที่สถานีรถไฟ Engelberg ก็มีรถม้าใหญ่ขนาดนั่งได้คันละ 9 คนรออยู่แล้วสองคัน เป็นรถม้าแบบเปิดสองข้าง พาพวกเราไปเที่ยวชมหมู่บ้าน Engelberg ในยามค่ำท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา มีแสงไฟวับๆแวมๆที่ส่องออกมาจากบ้านช่องและร้านรวงในหมู่บ้าน เหมือนกับดินแดนในเทพนิยาย แสนจะโรแมนติก

ครั้งนั้นรถม้าพาพวกเราทั้ง 18 คนไปหยุดอยู่ที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งฉันอยากจะเรียกว่าโรงเตี๊ยมมากกว่าเพราะเป็นแบบประเภทที่คนอังกฤษเรียกว่า Inn หรือ Tavern พอเดินเข้าไปข้างในก็มีเตาผิงจุดเอาไว้รอท่า มีดนตรีบรรเลงเพลงที่แสนไพเราะต้อนรับในห้องโถงขนาดกลางมีโต๊ะอาหารจัดไว้อย่างสวยงาม ฉันยังจำภาพนั้นได้ติดตามาจนทุกวันนี้ ไม่เคยลืมเลย

สำหรับ ปีนี้ ในบัตรเชิญระบุการแต่งกายไว้อย่างเดียวว่า “Seidenblusen ungeeignet” แปลเป็นไทยง่ายๆว่า “เสื้อไหมไม่เหมาะสม (สำหรับโอกาสนี้)” จุดนัดพบเวลา 17.00 นาฬิกา ที่หน้าประตูทางเข้าของบริษัทเมื่อพวกเราทั้ง 15 คนไปถึงก็มีรถบัสพร้อมคนขับรถจอดรออยู่แล้ว พอได้เวลาเป๋ง รถก็ออก ฉันพยายามจีบถามโชเฟ่อร์ว่าจะพาเราไปไหน แกก็ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “แล้วคุณก็จะรู้เองภายในหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้” แล้วแกก็อวยพรให้พวกเราสนุกสนานกับการเดินทาง

ระหว่างทาง เลขาฯของบริษัทซึ่งเป็นผู้วางแผนจัดปาร์ตี้นี้ก็หันมาถามพวกเราว่า “คุณอยากรู้ไหมคะว่า เย็นวันนี้เราจะมีเมนูรายการอาหารอะไรบ้าง” พวกเราต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “Sicher.” แปลว่า “แน่นอนที่สุด” คุณเลขาฯเธอก็ควักเอาคัมภีร์ เอ๊ย กระดาษแผ่นหนึ่งออกมาอย่างช้าๆแล้วก็เริ่มอ่านว่ามีอะไร รวมแล้วมีทั้งหมดห้าคอร์สด้วยกัน ล้วนแต่เป็นอาหารยอดๆสำหรับ gourmet นักรับประทานทั้งหลาย

ห้าคอร์สที่ฉันเล่าให้เธอฟังนี่ ไม่ใช่ห้าคอร์สแบบโกงๆที่ร้านอาหารส่วนใหญ่มักจะชอบทำกัน คือนับผักเละๆที่เคียงข้างมาเป็นหนึ่งคอร์สเข้าด้วย ไม่ใช่อย่างนั้นนะจ๊ะ นี่เป็นห้าคอร์สบริสุทธิ์จริงๆจะบอกให้เธอฟังคร่าวๆ ก็ได้ว่ามีอะไรบ้าง

คอร์สหนึ่งเริ่มด้วยปลาแซลมอนทำเป็นรูปดอกกุหลาบวางอยู่กับผักสลัดราดด้วยซอสงา

คอร์สสองเป็นซุป bouillabaisse ไก่ (อ่านว่า บูยาเบส) เสิร์ฟมากับขนมปังกระเทียม อันซุปบูยาเบสนี้ ฉันมักจะเรียกง่ายๆ ในภาษาไทยว่าแกงเหลืองฝรั่งเศส เพราะหน้าตาคล้ายคลึงกับแกงเหลืองของชาวปักษ์ใต้ แต่ส่วนใหญ่คนฝรั่งเศสมักจะใช้ปลา ไม่ใช่ไก่ การที่เขาใช้ไก่ในวันนี้ก็เพราะว่าคนสวิสหลายคนไม่ชอบความคาวของปลาหรือของอาหารทะเล พูดถึงซุปนี้แล้ว ฉันมีเรื่องตลกเล่าให้เธอฟังอีก เมื่อตอนที่ฉันไปเที่ยวเมือง Marseilles ในฝรั่งเศส แต่ขอไม่เล่าในจดหมายฉบับนี้ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่จบง่ายๆเป็นแน่

คอร์สที่สามเป็นสตูเห็ดหอมกับผักที่คนสวิสเรียกกันว่า “Lauch” และคนอังกฤษเรียกว่า “Leek” ถ้าจะแปลเป็นไทยก็คือ ต้นหอมฝรั่ง ซึ่งก็ไม่ค่อยจะถูกต้องดีนัก ประดับด้วยมันฝรั่งที่ทำเป็นสายแบบเส้นหมี่แล้วทอดกรอบ

คอร์สที่สี่เป็นเมนคอร์ส หรืออาหารที่หนักที่สุด คือ เนื้อลูกวัวสันในผ่าครึ่งประกบเนื้อสันในวัวข้างในแล้วเอาเข้าเตาอบเวลาจะรับประทานก็ราดด้วยน้ำเกรวี่ที่ทำจากเห็ดชนิดหนึ่ง เรียกในภาษาเยอรมันว่า Trueffelsauce ฉันเองก็จนด้วยเกล้าไม่รู้จะแปลว่าอย่างไรจึงจะถูกต้องในภาษาไทย เอาเป็นว่าเป็นเกรวี่รสเลิศอีกชนิดหนึ่งก็แล้วกันนะ อาหารจานนี้เสิร์ฟมากับก๋วยเตี๋ยวอิตาเลียน มีผักจำพวกแครอทและดอกกะหล่ำประดับมาข้างจาน

คอร์สสุดท้ายเป็นของหวานทำด้วยครีมมีรสขิง ราดด้วยน้ำตาล แล้วเอาเข้าเตาอบจนน้ำตาลกลายเป็นสีน้ำตาล ทิ้งเอาไว้ข้างนอกครัวให้เย็น เสิร์ฟมากับผลไม้ต่างๆ เช่น กีวี มะม่วง แพสชั่น ฟรุต ส้ม ฯลฯ

ได้ฟังรายการอาหารแล้ว พวกเรารู้สึกกระหยิ่มใจ ต่างก็เตรียมตัวเตรียมใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเตรียมท้องกันไว้เต็มที่แต่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าภัตตาคารนั้นอยู่ที่ไหน มัวแต่คุยกันเพลิน ไม่ได้มองป้ายถนนหรือป้ายเมือง จึงไม่รู้ว่ารถกำลังพาเราไปไหน มองออกไปนอกรถก็เห็นแต่ความมืด

อีกในราวสิบนาทีเราจะถึงที่หมายคุณเลขาฯบริษัทลุกขึ้นยืน ก้มหยิบเอาถุงใหญ่ใบหนึ่งออกมา แล้วเริ่มเดินแจกห่อของขวัญสีสวยให้พวกเราทุกคน ต่างก็พยายามทายว่าในห่อของขวัญสีสวยนั้นมีอะไร แต่เราก็ยังไม่เปิด ทุกๆปีเราต่างได้รับของขวัญกันเช่นนี้ ส่วนใหญ่เขาจะวางเอาไว้ให้บนโต๊ะอาหารที่มีการ์ดชื่อของทุกคนตั้งไว้

โชเฟอร์ พารถเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดโชเฟอร์ก็พารถมาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านสองหลังติดกัน แบบที่คนอังกฤษเรียกว่า semidetached house ถนนเล็กหน้าบ้านสายนั้นแลดูเงียบเหงา หน้าบ้านมีไฟฟ้าจุดติดไว้ดวงหนึ่ง ทันทีที่พวกเราลงจากรถ โชเฟอร์ก็ขับจากไป ฉันเดินไปจนถึงประตูเพื่อจะดูชื่อเจ้าของบ้าน ก็เห็นป้ายเล็กๆติดเอาไว้หน้าประตูว่า Irene’s Kochschule แปลว่าโรงเรียนสอนทำกับข้าว (ของ) อีเรน (ถ้าเป็นภาษาอังกฤษจะอ่านว่าไอรีน)

คุณเลขาฯเดินไปกดกริ่ง รออยู่สักครู่ก็มีผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆ รูปร่างท้วมๆใส่แว่นตาเดินออกมาเปิดประตูกล่าวคำสวัสดี เขย่ามือพวกเราทุกคน แล้วเชิญให้เข้าไปในบ้าน พวกเราแขวนเสื้อโค้ตไว้ที่ที่แขวนซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ ถัดไปเป็นห้องน้ำ อีเรนพาเราเดินเลี้ยวเข้าประตูทางด้านซ้ายมือ เข้าไปในห้องที่ฉันเดาเอาว่าเป็นห้องอาหาร เพราะมีโต๊ะขนาดนั่งได้ประมาณ 18 คนตั้งอยู่ แต่โต๊ะอาหารยังไม่ได้จัด มีแต่เทียนสวยที่ทำด้วยสนปักเทียนไขวางอยู่ตรงกลางโต๊ะ อีกมุมหนึ่งของห้องมีต้นคริสต์มาสประดับประดาอย่างสวยตั้งเอาไว้ ที่ฝาผนังด้านหนึ่งมีรูปภาพ 2-3 รูปแขวนเอาไว้ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก เมื่อเดินผ่านห้องอาหารไปทางขวามือก็จะแลเห็นครัวใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องครัวแขวนไว้เต็ม

เมื่อพวกเราได้มายืนอยู่พร้อมกันในห้องอาหารแล้ว ผู้หญิงคนที่มาเปิดประตูต้อนรับก็แนะนำตัวเองว่าเธอชื่ออีเรนเดอริก (Irene Doering) เป็นเจ้าของและครูสอนวิชาปรุงอาหารที่นี่ ขอยินดีต้อนรับ แล้วเธอก็ขอตัวไปจัดการกับเครื่องดื่ม

อีกไม่นานคุกอีเรนก็เอาไวน์ขาวมารินแจก พร้อมทั้งเอาของว่างที่แสนอร่อยมาเสิร์ฟพวกเราอีกด้วย อย่างหนึ่งที่ฉันพบด้วยความดีใจและรับประทานด้วยความเอร็ดอร่อย ก็คือกระหรี่ปั๊บนั้นเองแต่ลักษณะการพับไม่เหมือนกับกะหรี่ปั๊บของไทยเรา เพื่อนๆของฉันคนอื่นๆก็ชอบด้วย อย่างไรก็ดี ฉันยังนึกสงสัยอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่คุณอีเรนแกจะลงมือทำกับข้าวเสียที ขณะนั้นเป็นเวลาทุ่มหนึ่งแล้ว

ดูเหมือนว่าเธอจะเดาความคิดของฉันออก เธอเริ่มเอาหมวกกระดาษสีทองที่ตัดเป็นรูปมงกุฎมาแจกพวกเราคนละใบในขณะเดียวกัน คุณเลขาฯก็บอกให้พวกเราเปิดกล่องของขวัญที่ได้รับแจกบนรถเดาออกแล้วใช่ไหมจ๊ะ ของขวัญในกล่องนั้นก็คือผ้ากันเปื้อนนั่นเอง

พอเราใส่ผ้ากันเปื้อนเรียบร้อยแล้วคุณอีเรนก็เชิญให้พวกเราเข้าไปในครัวบนเคาน์เตอร์รอบๆมีอาหารจำพวกเนื้อ ผัก ผลไม้ ฯลฯ วางอยู่ แล้วเธอก็เริ่มอธิบายวิธีการทำอาหารแต่ละชนิดอย่างถี่ถ้วน ฉันก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เพราะอยากไปนั่งรับประทานอาหารเย็นเต็มทีแล้ว คนอื่นๆก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันพออธิบายคอร์สสุดท้ายจบ เธอก็สั่ง (ฉันต้องใช้คำว่าสั่งในที่นี้ เพราะไม่ใช่การบอกดีๆ) ให้พวกเราไปล้างมือ จะได้ลงมือประกอบอาหารกันเอง

ฉันตกตะลึง เพราะจนถึงในขณะนั้น ฉันก็ยังไม่ได้สังหรณ์สักนิดว่าพวกเราจะต้องเป็นผู้ลงมือประกอบอาหารกันเอง ฉันคิดว่าคนอื่นๆก็คงจะนึกไม่ถึงเหมือนกัน มีคุณเลขาฯคนเดียวเท่านั้นที่รู้อะไรจะเกิดขึ้น เพราะเธอเป็นคนจัดแจงทุกอย่าง

แต่ทุกคนก็ว่าง่ายเสียจริงๆ เดินไปเข้าคิวล้างมือที่อ่างน้ำแต่โดยดี วอลเตอร์สามีฉันล้างมือเสร็จก็ไปยืนอยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ที่มีเนื้อวางอยู่ ถ้าเธอสังเกตรายการอาหารที่ฉันจาระไนให้เธอฟังเมื่อตอนต้นๆ เธอคงจะจำได้ว่า เนื้อเป็นอาหารจานหลักของมื้อนี้ และเพื่อนเขยของเธอก็เป็นประเภทที่ถ้าจะทำอะไร เขาจะไม่สนใจพวกปลีกย่อย แต่จะมุ่งตรงเป้าหรือตรงประเด็นเลย เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะปรุงอาหารเนื้อซึ่งเป็นอาหารจานหลัก และจะทำให้ทุกคนอิ่มท้อง

ส่วนอาหารจานอื่นๆนั้นเป็นอาหารที่เรียกน้ำย่อย แต่ก็ไม่อาจจะทำให้อิ่มท้องได้เช่นเดียวกับเนื้อ ส่วนคนอื่นๆก็เข้าประจำที่ที่ตนพอใจหรือไม่พอใจเพราะไม่มีทางเลือก ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่มีอาหารเย็นกินกันในวันนั้น ส่วนฉันยืนติดอยู่กับวอลเตอร์ แต่บนเขียงข้างหน้าของฉันไม่ใช่เนื้อ แต่เป็นหอมฝรั่งที่คุณอีเรนบงการให้ฉันจัดการกับมัน

ฉันมองไปรอบๆ ทุกคนขะมักเขม้นทำงานกันอยู่อย่างแข็งขัน โดยมีคุณอีเรนเดินไปที่นั่นนิดที่นี่หน่อย สั่งให้ทุกคนหั่น ตัด ปอก ผสม อะไรต่ออะไรให้ถูกต้องได้ส่วนพวกผู้ชายรู้สึกจะสนุกกับการที่ได้มีโอกาสทำอาหาร เพราะนานๆ จะได้มีโอกาสแสดงฝีมือเสียทีหนึ่ง ส่วนพวกผู้หญิงต่างก็ทำงานกันเงียบๆ

ถ้าฉันใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นเครื่องวัด ฉันก็อยากจะพูดว่า พวกเขาไม่มีความกระตือรือร้นเท่าไหร่นักที่จะต้องมาประกอบอาหารในเย็นวันนี้ และอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลย

อีกประการหนึ่ง พวกเราผู้หญิงต่างก็ต้องทำอาหารกันอยู่ทุกวันแล้วที่บ้านเราอยู่ในสังคมที่ไม่มีใครมีคนใช้ ต้องลงมือทำเองทุกอย่าง เป็นทั้งแจ๋วและเป็นทั้งคุณนายในคนเดียวกัน ยิ่งต้องมาประกอบอาหารโดยมีคนมาบงการด้วยแล้ว เราก็ยิ่งไม่ค่อยจะชอบใจ แต่ทุกคนมีมารยาทและวินัยที่ดีเยี่ยม ต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของตนที่ได้รับมอบหมายกันอย่างดีที่สุด ฉันเองเสียอีกที่ยังอดแสดงความไม่พอใจออกมาไม่ได้ช่างไม่ใช่ลักษณะนิสัยคนไทยที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีเสียเลย

ระหว่างที่เรากำลังทำงานกันอยู่ในครัว ก็มีผู้หญิงสาวๆอีกสองคนเดินออกมาจัดโต๊ะอาหาร คงจะเป็นผู้ช่วยของคุณอีเรนนั่นเอง พอเสร็จจากในครัวคุณอีเรนก็บอกให้เราไปนั่งประจำที่ จะนั่งที่ไหนก็ได้ ไม่มีที่เฉพาะอย่างที่เรามักจะปฏิบัติกัน ฉันเลือกที่นั่งที่ห่างจากครูสอนทำกับข้าวมากที่สุด วอลเตอร์และเพื่อนคนหนึ่งจัดการเปิดไวน์แล้วนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ส่วนอีกคนหนึ่งเดินเสิร์ฟน้ำเย็น คุณอีเรนเองก็ดูแลความเรียบร้อยในครัว ฉันนั่งหันหน้าเข้าครัว จึงสังเกตอะไรๆได้ถนัด

ในที่สุดอาหารก็ถูกนำเอามาเสิร์ฟทีละคอร์สโดยผู้ปรุงของคอร์สนั้น พอจบคอร์ส คุณอีเรนก็บงการด้วยเสียงอันดังว่า Aufraumen ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า เก็บโต๊ะเสียทีสิ (โว้ย) เพื่อว่าจะได้เสิร์ฟคอร์สต่อๆไป มาถึงตอนนี้ฉันยิ่งเพิ่มความไม่ชอบขี้หน้าคุณอีเรนยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม และฉันสังเกตตั้งแต่เราเหยียบย่างเข้าประตูบ้านมา ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผู้หญิงคนนี้เผยยิ้ม แม้ว่าระหว่างการนั่งโต๊ะ พวกเราจะมีเรื่องขำๆมาเล่าสู่กันฟังก็ตาม เธอก็ไม่เคยยิ้มเลย เมื่อฉันกระซิบบอกเพื่อนร่วมโต๊ะทุกคนก็เห็นด้วย

อาหารอร่อยเป็นเลิศ ไวน์ก็รสดีเหลือเกิน จนทำให้พวกเราไม่ได้สนใจคุณอีเรนอีกต่อไป พอถึงกาแฟและบรั่นดีคุณอีเรนก็เล่าให้ฟังว่าเธอได้รับเชิญให้ไปออกรายการทำอาหารทางโทรทัศน์อยู่เนืองๆ ฉันจึงนึกขึ้นได้ว่า ที่ฉันรู้สึกครั้งแรกที่พบว่าหน้าตาคุ้นๆก็เพราะเคยเห็นเธอในโทรทัศน์นี่เอง

“โชคดีนะที่เราไม่ต้องล้างชามเอง” เพื่อนร่วมโต๊ะของฉันกระซิบนินทาผู้หญิงผู้ช่วยสองคนของคุณอีเรนเป็นคนล้าง แต่พวกเราก็ต้องยกจานชามไปวางให้เขาที่อ่าง

ดูเหมือนคุณอีเรนจะรู้ตัวว่าพวกเราผู้หญิงไม่ค่อยจะพิศมัยเธอนัก เธอจึงพูดแบบออกตัวกลายๆว่า พวกเราต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะแยะเพื่อมาเลี้ยงฉลองกันที่บ้านของเธอแต่กลับต้องมาทำเสียเอง

เธอบอกว่าเป็นแฟชั่นของนักธุรกิจที่รับความสำเร็จในสมัยปัจจุบัน ที่อยากจะทำอะไรเล่นแผลงๆแบบนี้

สำหรับสนนราคานั้น หลังจากได้ดูหนังสือที่แจกแล้ว พอจะบอกได้คร่าวๆว่า อาหารมื้อนั้นตกหัวละ 250 ฟรังก์สวิส

คืนนั้นกว่าเราจะเสร็จอาหารเย็นก็ตกเข้าไปเกือบสองยาม เมื่อฉันมาคิดย้อนหลังดูว่า เหตุไรพวกเราผู้หญิงจึงไม่สนุกเท่าที่ควร ฉันก็พอจะบอกได้ว่าเพราะเราถูกมัดมือชกนั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวล่วงหน้าเสียก่อนสักนิดว่าเหตุการณ์จะเป็นไปในรูปนี้ เราจะได้เตรียมพร้อมและทำใจได้ คนจัดก็หมายใจจะจัดให้ดีเป็นที่พออกพอใจกับทุกคน แต่เขาพลาดไปนิดหน่อยที่ไม่ได้เอาความรู้สึกของพวกเราผู้หญิงมาใคร่ครวญ เอาแต่ความรู้สึกของคุณผู้ชายเป็นที่ตั้ง ความแปลกใจจึงกลายเป็นการตกบันไดพลอยโจน

ก็เราไม่มีทางเลือกนี่จ๊ะ