เที่ยวไปบนหลังคาโลก ตอนที่ 3

ที่ประตูทางเข้าวิหาร ตาว่าชี้ให้ดูแผ่นหินโบราณที่จารึกโองการของพระเจ้า “ทรีซองเต็ทซาน” เอาไว้พระองค์ทรงประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของทิเบต แต่นั้นมา ด้านหลังประตูมีหญิงทิเบตแก่ๆสองคนในเครื่องแต่งกายประจำชาติสีฉูดฉาด ใบหน้าของทั้งสองเหี่ยวย่นด้วยกาลเวลาและดินฟ้าอากาศที่แห้งแล้งทารุณ คุณยายแหงนหน้ามองพวกเราด้วยสายตาฝ้าฟางแต่ก็มีรอยยิ้มที่แจ่มใส อ้าปากแลเห็นเหงือกสีแดง ทำให้ฉันได้ใจถึงกับให้ตาว่าถามว่าคุณยายอายุเท่าไร ได้ความว่าทั้งสองมีอายุได้หนึ่งร้อยสองปีแล้ว จะจริงหรือไม่ไม่มีใครยืนยันได้ เพราะสภาวะอากาศที่ “เกินไป” เยี่ยงทิเบตมักจะทำให้ผู้คนแลดูแก่เกินวัยเสมอ

ภายในใจกลางของห้องโถงใหญ่แบ่งออกเป็นสามชั้นด้านในแลดูมืดทึบ ที่เห็นสะดุดตาที่สุดเป็นสถูปเจดีย์ทาสีแดง ขาว เขียวและสีดำ มีรูปปั้นช้างหินสองตัว มีระฆังขนาดยักษ์ทำด้วยบรอนซ์ ด้านในเป็นกงล้อสวดมนต์แขวนเอาไว้วิหารแห่งนี้ดูจะเป็นที่รวมเอาสถาปัตยกรรมของจีน ทิเบตและอินเดียเข้าไว้ด้วยกันทั้งสามชั้น ชั้นสามของวิหารถูกทำลายไปมากในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม Cultural Revolution เป็นจุดดำจุดใหญ่ของจีนที่ทำให้ประเทศต้องล้าหลังไปสิบปีอย่างน่าเสียดาย

ในตัวบริเวณของวิหารมีที่พักเดินทางอยู่แห่งหนึ่งแม้จะไม่สู้สะอาด แต่ก็เห็นนักท่องเที่ยวมาพักกัน มีร้านชำขายของจิปาถะที่จำเป็นของชาวบ้านอยู่ร้านหนึ่ง ชาวทิเบตนั่งๆนอนๆกันอยู่ทั่วบริเวณ แม้ลักษณะภายนอกพวกเขาจะดูมอมแมมสกปรก แต่ก็ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนหรือแสดงให้เห็นว่ามีความทุกข์ อาจจะเป็นเพราะความศรัทธาในศาสนาก็ได้ที่ทำให้เข้าไม่เดือดร้อนต่อสภาพความเป็นอยู่รอบตัว

รถโกดังคันเดิมพาเรากลับไปลงเรือ ขากลับเรือวิ่งตามน้ำจึงข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงแทนที่จะเป็นสองชั่วโมงครึ่งเช่นตอนขามา นอกจากคณะของเราแล้วก็มีผู้โดยสารอยู่ไม่กี่คน เป็นหนุ่มๆสาวๆไม่ต้องแออัดยัดเยียดเหมือนเมื่อตอนขาไปนั่งชมวิวกันไปสบายๆ เพลินฟังเพลงที่หนุ่มๆสาวๆชาวทิเบตร้องกัน รู้สึกว่าเสียงไม่เลวเลย ร้องไปก็เปิดขวดเบียร์ขึ้นดื่ม มีหนุ่มชาวทิเบตคนหนึ่งหัวใสแบกลังใส่เบียร์มาขายด้วย พวกสาวๆเห็นว่าเรามองต่างก็หัวเราะกันคิกคักด้วยความเขิน แล้วก็เชื้อเชิญให้ดื่มด้วย แม้จะรู้สึกเหนื่อยและเพลียแต่เราก็ชื่นใจที่ได้เห็นเด็กหนุ่มสาวเหล่านี้มีความสุขหลังจากที่ได้ไปทำบุญในวันวิสาขบูชากันมาแล้ว

เย็นวันนั้นระหว่างอาหารเย็น เพื่อนชาวอเมริกันจอห์นและบิลล์เหวี่ยงคำแนะนำที่หมอให้ทิ้งอย่างไม่ใยดี สั่งไวน์ฝรั่งเศสมาเลี้ยงทุกคนในคณะ เพื่อฉลองวันเกิดให้กับหญิงไทย แถมยังเป็นต้นเสียงร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” อีกต่างหาก ทำเอาแขกคนอื่นในห้องอาหารพลอยสนุกไปด้วยเดินมากล่าวคำอวยพร เราถ่ายรูปร่วมกันไว้เป็นที่ระลึก อดจะรู้สึกเป็นพิเศษไม่ได้ที่มีโอกาสมาฉลองวันเกิดบนหลังคาโลก ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจมาก่อนเลย

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม

เวลาแปดนาฬิกาครึ่งเราอำลาเมือง “ซีตาง” ไปเมือง “กานซี่” (Gyantse) ซึ่งโดยปกติก็เป็นระยะทางเพียง ๓๒๐ กิโลเมตรเท่านั้น ถ้าเป็นถนนไฮเวย์ในประเทศที่พัฒนาแล้วคงจะใช้เวลาอย่างมากที่สุดไม่เกินสามชั่วโมง หากที่นี่เป็นทิเบต ตาว่าบอกว่าจะต้องใช้เวลาถึงเก้าชั่วโมงรวมเวลาหยุดพักกินอาหารกลางวันด้วย ถนนที่เราจะขึ้นไปนี้ตัดผ่านขึ้นเขาที่มียอดสูงที่สุดถึง ๕,๑๐๐ เมตร ที่ “คาโรล่า” ซึ่งสูงกว่าภูเขา “ยุงเฟรา” ในสวิสถึงกว่าหกร้อยเมตร

ประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลัง รถก็พาเราถึงทางแยกสองทาง ทางหนึ่งแยกไป “โลค่า” (Lhoka) ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นสะพาน “ชูชัวร์” (Chushur) ที่ทอดข้ามแม่น้ำ “เคียวชู” (Kyichu) ซึ่งเป็นสาขาใหญ่สายหนึ่งของแม่น้ำ “ซางโป” และไหลมาบรรจบกันที่จุดนี้ ก่อนที่จะสร้างสะพานเมื่อปี ๑๙๖๔ ใครที่ต้องการข้ามแม่น้ำจะต้องใช้เรือข้ามไป

อีกสักครู่รถก็เริ่มไต่ช้าๆขึ้นมา ถนนในช่วงนี้กลายเป็นทางเกวียนไปเสียแล้ว เพราะขรุขระไปด้วยหินกรวดและทราย แถมยังแคบอีกต่างหาก มีรถบัสของเราวิ่งอยู่คันเดียวไม่เห็นมีรถอื่นวิ่งสวนมาเลย ทำให้คิดว่าเขาคงจะอนุญาตให้วิ่งทางเดียวเท่านั้น แต่วิ่งไปได้สักพักก็มีรถคันหนึ่งวิ่งสวนลงมาจากเขาอย่างเร็ว โชเฟอร์ของเราขับแอบช้าๆเข้าข้างทาง

ฉันนั่งอยู่ด้านขวามือริมหน้าต่างจึงมองเห็นหุบเหวดิ่งลงไปลึกอยู่ข้างๆใจหายวูบ นี่หากว่าโชเฟอร์มือไม่ฉมัง หรือว่าถนนจะเปียกสักนิด เราคงจะลงไปนอนในก้นเหวเป็นแน่แท้ เพราะรถบัสของเราไม่มี “โฟวีลไดรฟ์” แต่ขับด้วยล้อหน้าเท่านั้น ยางล้อทั้งสี่ก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เต็มประดาทุกคนต้องยอมรับว่าเราทั้งหมดตั้งอยู่ในความประมาท หากมีอุบัติเหตุ บาดเจ็บ หรือพิการหรือตายกันทั้งคันรถ คงจะสร้างความเดือดร้อนไปทั่วหน้า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือบริษัทที่ทุกคนทำงานอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานในระดับผู้บริหารสูงสุด บริษัทที่ชาวสวิสคนข้างเคียงทำงานอยู่มีกฎห้ามไม่ยอมให้เขาเดินทางโดยเครื่องบินร่วมกับผู้บริหารในตำแหน่งเดียวกัน แม้จะอยู่กันคนละประเทศก็ตาม

โชเฟอร์ของเราไม่เคยบีบแตรตอนทางโค้งหรือเพื่อขอทาง ในประเทศที่พัฒนาแล้วแม้ว่าจะเคร่งครัดเรื่องการใช้แตร แต่ในกรณีเช่นนี้เขาถือว่าจำเป็นที่จะต้องใช้แตรเป็นระยะๆ เพื่อเตือนรถที่จะสวนมา ทำให้แปลกใจว่าทำไมในประเทศเช่นเนปาลหรือทิเบต คนขับรถมักจะบีบแตรกันเป็นว่าเล่นในถนนธรรมดาๆ แต่พอมาถึงถนนที่ควรใช้แตรเขากลับไม่ใช้

ทิวทัศน์ในช่วงทางระหว่างสะพาน “ชูชัวร์” ถึง “กานซี่” ช่างสวยงามจับใจ เสียง “อู” และ “อา” ดังทั่วคันรถเกือบตลอดทางทำให้ลืมอันตรายที่ล้อมรอบ คุณผู้อ่านคงจะสงสัยว่านายหมาของเราหายไปไหน ฉันจึงไม่เอ่ยถึงเขาเลยพ่อทัวร์ลีดเดอร์คนเก่งของเราน่าสงสารจริงๆ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ แต่อ่อนปวกเปียกไปกับการเดินทางสมบุกสมบันในครั้งนี้ พ่อเจ้าประคุณ “เมาภูเขา” ตั้งแต่เริ่มได้กลิ่นเสียแล้วแถมยังขาดประสบการณ์อีกต่างหาก เพราะเคยแต่พาลูกทัวร์ไปเที่ยวในที่สะดวกสบาย มีทุกอย่างพร้อมเพรียงไม่เคยต้องเผชิญกับสภาพดินฟ้าอากาศเช่นทิเบต จึงได้แต่นั่งหลับตาแน่น ไม่ใยดีกับใครหรืออะไรทั้งหมด

ยิ่งสูงขึ้นไป พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรตามทางลาดของภูเขาข้างทางค่อยๆเปลี่ยนเป็นโขดหินและเนินทราย มีต้นไม้ขึ้นอยู่บ้างเป็นหย่อมๆ ทุ่งข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลีแต้มอยู่ประปราย ชาวไร่ชาวนาในแถบนี้คงจะต้องใช้ความอดทนและอุตสาหะจนเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะปลูกพื้นพรรณให้ได้เป็นผล ในที่สุดทุ่งนาก็ค่อยๆเลือนหายไป แปรสภาพเป็นแห้งแล้งแบบทะเลทราย รถไต่สูงขึ้นช้าๆเท่าที่สมรรถภาพของเครื่องยนต์ดีเซลจะทำได้ ทางที่ตัดไปถึงจุดผ่านภูเขา “คัมปาล่า” (Kampala Pass) อันตรายคดโค้งซิกแซ็กไปตลอด เริ่มด้วยความสูง ๓,๕๐๐ เมตร

ทันทีที่รถไต่ขึ้นไปถึงภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้เราแทบจะลืมหายใจ ทะเลสาบ “ยัมด๊ก” (Yamdok) อันมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือนอนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง แลเห็นฝูงจามรีและเล็มหญ้าอยู่ในบริเวณ ไกลออกไปยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะยืนตระหง่านจรดท้องฟ้าสีครามสะอาดสดใส เป็นภาพที่อยู่เหนือคำบรรยายใดๆ ฉันคิดว่าได้นอนหลับแล้วฝันไป ช่างสวยเหลือเกิน เราหยุดพักกินอาหารกันที่นี่ มีตาว่าและนายหมาซึ่งฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว แจกจ่ายกล่องอาหารและเครื่องดื่ม แต่ละคนเลือกที่นั่งกันเองตามอัธยาศัย ฉันและวอลเตอร์เลือกนั่งห้อยเท้าลงบนโขดหินหันหลังให้ถนนชื่นชมกับวิวเบื้องหน้า ช่างเป็นสถานที่ปิกนิกที่ผิดกับเมื่อวันวานอย่างฟ้ากับดิน

ขนาดบนภูเขาสูงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเด็กๆชาวบ้านแห่กันมาจากไหน แวะเวียนเข้ามารุมล้อมอยู่รอบข้าง อาสาเอาขยะไปทิ้ง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเศษกระดาษเล็กๆน้อยๆเพราะไม่มีใครรับประทานกันลงเมื่อมีดวงตาซื่อบริสุทธิ์จับจ้องอยู่ เราเลยแจกอาหารให้ไปจนเกลี้ยง ยอมหิวกันอีกทีปลอบใจตนเองว่าในรถยังมีขนมให้ขบเคี้ยวกินแก้หิว เด็กพวกนี้ไม่มีอะไรเลย อาหารมื้อนี้คงจะเป็นมื้อที่โอชะที่สุดที่เขาได้เคยลิ้มรส เพราะในกล่องมีทั้งไก่ ไข่ต้ม แซนด์วิช ไส้กรอก ถั่วลิสง ขนมและผลไม้ต่างๆที่ทางโรงแรมจัดมาให้อย่างเต็มเพียบ

หลังจากนั้นเราก็ถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก มาถึงตอนนี้แม้แต่นายหมาก็กุลีกุจอมาอาสาช่วยถ่ายรูปให้รอบคอของเขาจึงมีกล้องแขวนอยู่ระโยงระยาง เรานั่งรถไปอีกประมาณเจ็ดสิบกิโลเมตรก็ขึ้นไปถึงยอด “คาโรล่า” (Karola) ซึ่งเป็นจุดสูงสุด ตั้งอยู่ ๕,๑๐๐ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล รถจอดให้ได้ชมวิวและถ่ายรูป จุดนี้เป็นจุดที่ต้องระวังมากที่สุดเพราะอากาศบางมาก เราหยิบเอาขวดออกซิเจนออกมาสูดหายใจเข้าปอด อยากจะวิ่งไปหาจุดที่คิดว่าจะถ่ายรูปได้สวยที่สุด แต่จำต้องเดินไปช้าๆ จนถึงฝูงจามรีที่เจ้าของคนเลี้ยงและลูกสาวหาเครื่องประดับสีฉูดฉาดมาประดับให้ บนหลังมีผ้าถักทอเหมือนพรมสีสวยวางไว้ ส่วนบนหัวระหว่างเขาทั้งคู่ก็มีพู่สีแดงคล้องเอาไว้แลดูแปลกตาเขาเชื้อเชิญให้เราขึ้นขี่หลังจามรีแบบเดียวกับที่ชาวอียิปต์แถบปิระมิดชวนเชิญให้นักท่องเที่ยวขึ้นขี่หลังอูฐ หญิงไทยใจกล้าพอๆกับชาวสวิส ปีนป่ายขึ้นไปนั่งก่อนใครเพื่อน แล้วผลัดกันถ่ายรูป คนอื่นๆในคณะเห็นเข้าก็นึกสนุก ทำตามบ้าง แม้แต่บิลล์เพื่อนชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์และคณบดีในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้ก็กระโดดขึ้นขี่หลังจามรีเพื่อถ่ายรูปกับเขาด้วย มาบอกในตอนหลังว่า ฉันเป็นตัวกระตุ้นทำให้เขาอยากขี่บ้าง นึกชอบใจ ที่ทำให้ใครๆปล่อยแก่กันได้สำเร็จ

เลยไปหน่อยเห็นจิมกำลังแอบสูดออกซิเจนจากขวด เขาเป็นคนร่างใหญ่คงจะไม่ต้องการให้เห็นว่าอ่อนแอจึงทำลับๆล่อๆ ต้องเล่าหน่อยว่า ถึงเวลาเย็นมักจะมากินกันไม่ครบคนสักที ได้ความว่าไม่ใครก็ใครรู้สึกไม่สบาย ต้องนอนพักเพื่อให้หายใจได้เป็นปกติ พอได้พักก็ดีขึ้น มีแต่พวก “อึดทายาด” เช่นหญิงไทยและชาวสวิสกับเพื่อนร่วมคณะอีกคนสองคนเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไรกับใคร

มารีภรรยาของบิลล์ติดใจอานสีสวยที่คลุมหลังจามรี ขอซื้อติดกลับไปประดับบ้านที่เซี่ยงไฮ้เลยโดนแซวว่าต้องกลับเอาไปซักก่อนให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นแขกไปใครมาจะนึกว่ามีอะไรมาตายอยู่ในบ้าน

จากยอดเขา “คาโรล่า” รถค่อยๆได้ลงอีกทางหนึ่ง ผ่านหมู่บ้านเล็กๆหลายแห่ง เด็กๆแก้ผ้าว่ายน้ำอย่างสนุกสนานในแม่น้ำและลำธารที่ใสแจ๋ว ไม่ใยดีกับอากาศที่ค่อนข้างเย็น หญิงชาวทิเบตนั่งซักผ้าอยู่ริมฝั่ง วันนั้นคงจะเป็นโอกาสพิเศษที่เขาเอาผ้าออกมาซัก เพราะโดยทั่วไปชาวทิเบตมักจะใส่เสื้อผ้าไว้หลายชั้น และจะไม่เปลี่ยนจนกว่าจะเก่าขาดไปเอง พออากาศร้อนก็ค่อยๆเปลื้องออกทีละชิ้นพอหนาวก็สวมกลับเข้าไปใหม่ ภูมิอากาศและสภาพความเป็นอยู่ไม่เอื้ออำนวยให้เขาคำนึงถึงอนามัยกันเท่าไรนัก เคยดูหนังทีวีในสมัยที่องค์ดาไลลามะยังครองประเทศก่อนที่จีนจะเข้าไปปลดแอกเมื่อปี ๑๙๕๙ สภาพของชาวทิเบตน่าสงสารมาก มีชีวิตยิ่งกว่าทาสในประเทศของตนเอง ความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นมากหลังจากที่จีนประกาศให้ทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน รัฐบาลจีนสร้างถนนหนทางให้ปรับปรุงการคมนาคมให้ดีขึ้น จัดระบบการศึกษาภาคบังคับและสาธารณูปโภคต่างๆ แม้ว่าทิเบตจะยังคงล้าหลังอยู่มากแต่ก็สิ้นความเป็นทาสเยี่ยงในสมัยก่อนที่ระบบเจ้าขุนมูลนายยังเฟื่องฟู เมื่อก่อนชาวทิเบตไม่มีอะไรเลย ๙๙ เปอร์เซ็นต์ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ในปัจจุบันมีโรงเรียนอยู่ทั่วไปแม้แต่ในที่กันดาร

ชาวตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯชอบตะโกนปาวๆเรื่องสิทธิมนุษย์ชนอยู่เป็นประจำ ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นทิเบตเลย พวกที่สามารถ “ลี้ภัย” ออกนอกประเทศได้ มักจะเป็นพวก “อีลีท” มีสตางค์ พอออกไปอยู่ต่างประเทศสมใจแล้ว ก็พยายามยุยงชาวตะวันตกเคี่ยวเข็ญให้จีนคืนทิเบตให้เป็นอิสระ เพื่อว่าตนเองจะได้กลับไปมีชีวิตที่รุ่งเรืองอยู่ในประเทศตามเดิมท่ามกลางความยากไร้ของเพื่อร่วมชาติที่มีโอกาสด้อยกว่า มีชาวทิเบตอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกของจีนถึง ๕๑ เปอร์เซ็นต์ ในรัฐหยุนหนานและชีฉวน เป็นต้น

รัฐบาลจีนยินดีที่จะให้องค์ดาไลลามะเสด็จกลับคืนสู่ทิเบตในฐานะองค์พระประมุขของศาสนา โดยไม่มีการเมืองเข้ามายุ่ง ชาวทิเบตเอง ถึงแม้จะจงรักภักดีและสักการะพระองค์เพราะเชื่อว่าเป็นอวตาลจุติมาเกิด และเมื่อสิ้นพระชนมชีพไปแล้ว วิญญาณก็จะเวียนว่ายไปถือกำเนิดมาใหม่ แต่พวกเขาก็อยากให้พระองค์เป็นประมุขทางศาสนามากกว่าการเมือง

ทิเบตเป็นดินแดนลึกลับ ยากต่อการเข้าใจรัฐบาลจีนอยากให้ทิเบตเป็นเช่นนั้นตลอดไป ไม่ต้องการทำลายความสุขและความพอใจของชาวทิเบตเอง ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ มีพลเมืองที่มีวัฒนธรรม ประเพณี ภาษาพูดและความเชื่อถือในศาสนาที่แตกต่างกันออกไป หากว่าปล่อยให้รัฐเล็กรัฐน้อยเหล่านี้เป็นอิสระปกครองตนเองได้ตามใจชอบ จีนก็อาจจะมีสภาพไม่ผิดอะไรกับโซ

เวียตรัสเซียซึ่งเมื่อรัฐต่างๆแยกตัวเป็นอิสระไปได้แล้ว ประเทศก็ถึงกับล่มสลาย ประชาชนอดอยากค้นแค้นเสียยิ่งกว่าในสมัยที่คอมมิวนิสต์ปกครองประเทศเสียอีก

ชาวโลกตะวันตกมักจะมองจีนไปในด้านลบมากกว่าด้านบวก เป็นเพราะรัฐบาลจีนไม่ประชาสัมพันธ์ตนเองเท่าที่ควร ว่าตนเองได้สร้างอะไรต่ออะไรให้คนในประเทศบ้าง ใครๆจึงมองจีนว่าขี้เบ่ง ข่มเหงรังแกคนที่มีกำลังด้อยกว่า หากใครได้เคยมาอยู่ในประเทศจีนและมองจีนด้วยสายตาที่เป็นธรรม จะเห็นว่าผู้ครองประเทศดูแลเอาใจใส่พลเมืองของตนเสมอ แต่การที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศให้ตลอดรอดฝั่ง เขาจะยอมปล่อยบังเหียนให้ใครทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ คนอเมริกันเองที่อยู่ในประเทศจีนก็จำต้องยอมรับในข้อนี้ และมักจะบ่นเสมอว่ารัฐบาลของตนไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับประเทศนี้ ไม่เชื่อก็ลองอ่านประวัติศาสตร์ดู

เล่าให้ฟังเรื่องอนามัยของชาวทิเบตนิดเดียว ออกนอกเรื่องไปเสียไกล ขอวกกลับมาคุยเรื่องการเดินทางใหม่นั่งรถชมวิวมาเพลินๆต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโชเฟอร์ของเราเหยียบเบรกจนตัวโก่งเพื่อหลบให้พ้นรถบรรทุกของทหารที่จอดขวางทางอยู่กลางถนนอย่างหน้าตาเฉย ทหารพลขับนั่งมองรถเราอย่างทองไม่รู้ร้อนอยู่หลังพวงมาลัย โชเฟ อร์บีบแตรขอทางแต่เขาก็ไม่ยอมขยับ คงจะคิดว่าเป็นทหารเป็นเจ้าถนน น่าจะทำรายงานส่งผู้บังคับบัญชานัก นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลจีนกำลังจะพยายามกำจัดให้สิ้นซาก ไม่ว่าจะเป็นคอรัปชั่นหรือการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการจำคุกและประหารนายกเทศมนตรีกับพรรคพวกในมณฑลหนึ่งเพราะคอรัปชั่น ทำเอาหลายคนแขยงไปตามๆกัน

พอเข้าเขตหมู่บ้าน “ลองมา” ตอนบ่ายสี่โมงสามสิบห้า รถของเราก็เริ่มมีอาการสั่นสะเทือนส่งเสียงโครมคราม ต้องคลานไปหยุด วิ่งต่อไปไม่ได้ เนื่องจากเครื่องกรองน้ำมันอุดตัน เราลงจากรถยืดเส้นยืดสายและถ่ายรูปฆ่าเวลา จนคนขับรถแก้เครื่องได้

รถวิ่งออกจากหมู่บ้านไปได้อีกประมาณสิบกว่านาทีเครื่องยนต์ก็ดับอีก หลังจากพยายามปล้ำแก้เครื่องอยู่นานพอดูคนขับก็ยอมแพ้ เรามองหารถโกดังที่ขนกระเป๋าซึ่งควรจะตามมาข้างหลัง แต่ก็ไม่มีวี่แวว ถนนแลดูวังเวงว่างเปล่า ไม่มีรถผ่านมาพอที่จะขอความช่วยเหลือได้เลยโทรศัพท์มือถือก็ใช้การไม่ได้เพราะไม่อยู่ในเขตบริการ หมดปัญญาที่จะติดต่อกับทางโรงแรมที่เมือง “กานซี่” เพื่อบอกให้รู้ว่าเราคงจะไปไม่ถึงในเย็นวันนั้นเป็นแน่ หรือโทร.ขอความช่วยเหลือให้เขาส่งรถมาช่วย พระอาทิตย์เริ่มลดตัวลงจากขอบฟ้า ธรรมชาติแลดูสงบเงียบ รถลากเทียมจามรีวิ่งช้าๆผ่านไปบนสะพานไม้เบื้องล่างของหุบเขา เสียงกระดิ่งดังแว่วมาตามลมดังกรุ๋งกริ๋ง สายลมพัดเฉื่อยฉิวต้องกาย ท้องทุ่งและแมกไม้แลดูเขียวขจี แสงแดดตากผ้าอ้อมโรยตัวชายกลางคนชาวทิเบตคนหนึ่งโผล่ออกมาจากไหนไม่มีใครรู้แต่งกายด้วยเสื้อผ้ากางเกงขาดวิ่น ผิวสีดำมีคราบขี้ไคลติดอยู่เกรอะกรัง ผมสีดอกเลาดูเป็นสีเทาสกปรก เห็นได้ว่าไม่เคยอาบน้ำมาเลยเป็นปีๆ ในมือถือไม้เท้าอันยาว รูปลักษณ์ของชายยากไร้เตือนให้รำลึกถึงเจ้าเงาะของนางรจนา แกมายืนเบิ่งมองดูพวกเราอยู่เงียบๆจนใครคนหนึ่งควักเงินออกมาให้ไปด้วยความเวทนา

รถไถนาคันเล็กๆขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซลชนิดเดียวกับที่ใช้กับเรือท้องแบนที่เรานั่งไปวิหาร “ซามเย” วิ่งผ่านมาคันหนึ่ง ตาว่าโบกมือให้หยุด ขอร้องให้คนขับไปบอกโรงแรมในเมือง “กานซี่” ให้ส่งรถออกมาช่วยคันหนึ่งคำนวณดูเวลาที่กำลังรถสามารถวิ่งได้แล้ว คงจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าจะไปถึง และคงจะใช้เวลาอีกสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อยกว่าทางโรมแรมจะหารถวิ่งกลับมาช่วยพวกเราได้ รวมแล้วก็สี่ชั่วโมง

ทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะต้องรออีกถึงสี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครเดือดร้อนใจ ทุกคนยังคงเบิกบานหยอกเย้าเล่นหัวกันสนุกฉันเองคิดว่าหากจะต้องค้างคืนอยู่ในรถบัสในคืนนั้นก็ทำใจได้เพราะมันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น รู้สึกแปลกใจมากกว่าที่รถแล่นมาจนถึงที่นี่ได้ ในสภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้ แถมยางล้อรถก็เก่าจนแทบจะมองไม่เห็นลูกดอก ถ้าฝนตกลงมาสักนิด ถนนก็จะกลายสภาพเป็นปลักควาย แล้วอะไรจะเกิดขึ้นคงเดาได้ไม่ยาก

ในขณะที่กำลังรอรถคันใหม่อยู่ “สเตฟาน” และ “เบอร์ทรัม” สองหนุ่มชาวเยอรมันเดินไปตรวจดูสภาพเครื่องยนต์ แล้วลุ้นให้โชเฟอร์ลองแก้เครื่องดูอีกสักครั้งหนึ่งดีกว่าอยู่เฉยๆ ปล้ำอยู่พักใหญ่ๆ เครื่องเริ่มส่งเสียงกระชึกกระชักจนดังกระหึ่ม แสดงว่าเครื่องยนต์ติดแล้ว พวกเราปีนขึ้นรถ ลึกๆแล้วฉันนึกเสียดายนิดๆที่หมดโอกาสค้างคืนในรถบนถนนสายนั้น คงจะเป็นเรื่องตื่นเต้นอีกเรื่องหนึ่งที่จะได้ไปเล่าให้เพื่อนฝูงฟังไม่รู้จบ

รถวิ่งฉิวแซงรถแทรกเตอร์ไถนาที่ตาว่าส่งไปขอความช่วยเหลือ พวกเราโบกมือขอบคุณและอำลาคนขับ พอไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งก็แลเห็นรถขนกระเป๋าของเราจอดรออยู่ ตาว่าโบกมือให้เขาตามหลังไป ห้ามวิ่งไปข้างหน้าเผื่อเกิดฉุกเฉินขึ้นมาอีก