วันที่เจ็ดของการเดินทาง คณะนักวิทยากรของเราเอาเรือ zodiac ออกไปสำรวจพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Smeerenburgfjord กันตั้งแต่หกโมงเช้า ด้วยความหวังว่าจะได้พบหมีขาวอีก ซึ่งก็คงจะไม่ผิดปรกตินัก เพราะพวกเขาได้เห็นแม่หมีและลูกหมีกันในเขตนี้แล้วเมื่อครั้งก่อน สำหรับอาณาเขตที่ตั้งอยู่ในเส้นรุ้งที่ ๗๙ องศา หรือแปดสิบองศาใกล้ขั้วโลกเหนือนั้น จะเป็นเวลาหกนาฬิกาตอนเช้าหรือตอนเย็นก็มีค่าเท่ากัน เพราะเป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกในฤดูร้อน หรือที่เรียกว่า ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน (Land of the Midnight Sun)
Smeeerenburgfjord เป็นฟยอร์ดที่ยาว ๒๐ กิโลเมตรและกว้าง ๔ กิโลเมตร ที่เปิดไปสู่ Dankskegatte ที่อยู่ระหว่าง Danskoya และ Amsterdamoya Danskoya เป็นเป็นเกาะใหญ่ประมาณ ๔๐ ตารางกิโลเมตร ตั้งชื่อตามชาวเดนมาร์คนักล่าปลาวาฬในปี ๑๖๓๐ อย่างไรก็ตาม เกาะ Danskoya ได้มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะนักสำรวจและนักผจญภัยในสมัยแรกๆทั้งหลาย เช่น นาย Salomon Andree ที่ได้เอ่ยถึงข้างต้น
ในขณะที่กัปตันของเรากำลังจะทอดสมอข้างหน้า Amsterdamoya ก็มีวิทยุเข้ามาว่า มีคนเห็นหมีขาวอยู่ห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตร เขาก็เลยต้องค่อยๆหันเรือกลับและแล่นไปทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือของ Spitsbergen เนื่องจากพื้นที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยหิน เขาจึงจำต้องจอดเรือให้ห่างจากฝั่งประมาณสองสามไมล์ คือในระยะประมาณห้าหกกิโลเมตร
ผลสุดท้ายแผนเดิมก็ถูกกลับนำเอามาใช้อีกทีหนึ่ง คือให้เราลงเรือ zodiac ไปขึ้นฝั่งที่ Smeerenburg แล้วค่อยไปติดตามหมีขาวกันทีหลัง เรือแล่นลงไปทางใต้ไปทอดสมอที่ตะวันออกเฉียงเหนือของ Danskoya ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งล่าปลาวาฬที่ใหญ่ที่สุดในสมัยหนึ่ง
แมวน้ำตัวหนึ่งเดินเตร่อยู่ริมฝั่ง นก Arctic Tern ทำรังอยู่บนพื้นดิน คอยระวังระไวไม่ให้มีใครมาใกล้ลูกน้อย เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็จะขอเล่าเรื่องของนกทะเลในตระกูลนกนางนวลแห่งอาร์คติคให้ฟังสักเล็กน้อยนะคะ
ตั้งแต่วันแรกแล้วที่ รอบิน หัวหน้านักสำรวจ ได้อธิบายถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้จากนกประเภทนี้ Arctic Tern มีลำตัวยาวประมาณ ๓๕ ถึง ๓๗ เซ็นติเมตร เป็นนกที่มีรูปร่างสวยเพรียว มีสีเทาด้านบนN7 IMG_0023และสีขาวด้านล่าง ตีนทั้งสองข้างและจงอยเป็นสีแดง มันวางไข่ซึ่งมีสองฟองบนหินหรือพื้นดินธรรมดา และจะฟักไข่อยู่สามอาทิตย์ ลูกนกจะออกจากรังค่อนข้างเร็ว และจะบินได้ภายในสามอาทิตย์ ปลา กุ้ง ปู และสัตว์เปลือกแข็งทั้งหลายเป็นอาหารของมัน
หลายคนต้องตกใจอย่างสุดขีด เมื่อเดินอยู่ดีๆก็มีนกโฉบลงมาจิกหัวจนเลือดโชก เพราะเดินไปใกล้รังของ นก Arctic Tern ในขณะที่มันกำลังฟักไข่อยู่ รอบินจึงแนะนำว่าวิธีที่ดีที่สุดคืออย่าวิ่งหนี แต่ใช้มือข้างหนึ่งโบกไว้เหนือหัว และเดินหันหน้าให้มัน มันก็จะบินหนีไปเอง นก Arctic Tern เป็นนกที่บินได้ไกลที่สุด ในฤดูหนาวมันจะไปอยู่ที่ แอตแลนติคตอนใต้ และทะเลเขตแอนตาร์คติค มันสามารถบินได้ไกลถึง ๑๒๐๐ กิโลเมตรทางเดียว ดังนั้นมันจึงมีประสพการณ์ในการดำรงชีวิตอยู่ในเขต พระอาทิตย์เที่ยงคืนตลอดทั้งปี จะเผชิญความมืดก็ต่อเมื่อมันบินข้ามเส้นศูนย์สูตรเท่านั้น
ภายใต้ความดูแลของนักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่ง เราเดินไปด้วยกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละสิบห้าคน เดินผ่านกระท่อมทิ้งร้างแต่รักษาไว้ในสภาพเดิม สังเกตได้ว่าครั้งหนึ่งคงจะเป็นชุมนุมที่พลุกพล่านพอสมควร ในจำนวนพวกที่ล่าปลาวาฬพวกนี้ เป็นชาวเดนมาร์คเสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ชาวฮอลแลนด์ไปรวมตัวกันอยู่ที่ Amsterdamoya กระท่อมเหล่านี้สร้างขึ้นด้วยไม้ drift wood ไม้ที่สายน้ำได้พัดพามาจากไซบีเรีย ผสมกับหินที่ได้จากในละแวกนี้ที่มีหินเป็นจำนวนมากอันเกิดจากการหดตัวและแข็งตัวของน้ำแข็ง เราได้แลเห็นสภาพโรงครัวที่ทิ้งร้างหลายแห่ง เหลือแต่เตาไฟที่ทำจากหินสำหรับตั้งกระทะทองแดงเพื่อต้มเอาน้ำมันที่ได้จากไขมันปลาวาฬ เรียกว่า blubber oven กระทะได้ถูกยกไปเก็บไว้แล้ว เหลือก็แต่เพียงเหล็กคอนกรีตกลมๆที่เราเห็นในปัจจุบัน
Blubber คือ ไขมันที่เรียงเป็นชั้นๆภายใต้หนังของปลาวา สำหรับเก็บพลังงานและเป็นฉนวนให้ความอบอุ่น ปลาวาฬหายใจจากช่องพิเศษที่อยู่บนหัวของมันโดยพ่นน้ำออกมา ด้วยวิธีดังกล่าวมันจึงสามารถจมอยู่ในน้ำได้
วิทยากรนักประวัติศาสตร์ของเรายังเล่าต่อไปว่า ในสมัยนั้นน้ำทะเลที่เห็นไม่ได้มีสีมรกตเช่นในปัจจุบัน แต่เป็นสีแดงฉานด้วยเลือดของปลาวาฬที่ถูกฆ่า และท้องฟ้าก็มืดมัวด้วยควันไฟที่เกิดจากการต้มปลาวาฬ พอหมดสมัยฆ่าปลาวาฬแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ลืมสถานที่นี้ไปจนสิ้น จนกระทั่งได้มีนักสำรวจมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง เช่นนาย Salomon Andree ที่ได้เล่าให้คุณผู้อ่านฟังแล้ว
นอกจากนั้น เรายังได้เห็นรอยเท้าอันใหญ่โตของหมีขาวอีกด้วย ได้รับการบอกเล่าจากวิทยากรว่า รอยเท้านี้ยังชัดเจนซึ่งแสดงให้เห็นว่า มันเพิ่งเข้ามาที่นี่ไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ด้วยเหตุดังกล่าว ไม่ว่าเราจะไปที่แห่งใด จะมียามรักษาการณ์พร้อมปืนและลูกกระสุนคอยเฝ้าให้ความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างที่เรากินอาหารกลางวันกันอยู่ในเรือ กัปตันก็ค่อยๆพาเรือแล่นไปใกล้ฝั่งที่มีคนเห็นหมีขาวนั่งอยู่ใกล้ธารน้ำแข็ง คงจะเป็นตัวเดียวกับที่เราได้เห็นรอยเท้าของมันเมื่อตอนเช้า
กลุ่มแรกที่ลง zodiac ไปดูก็ได้เห็นหมีขาวนั่งกินอาหารอยู่บนฝั่งที่เป็นเนิน ส่วนกลุ่มที่สองทีไปดู ปรากฏว่ามันได้เดินขึ้นไปบนเขาสูงขึ้นไป คงจะไปดูว่ามันพอจะมีของหวานเหลือให้กินหรือไม่ นั่นก็คือนกนั่นเอง ฉันอยู่ในกลุ่มที่สองจึงเห็นมันได้ในระยะค่อนข้างไกลพอสมควร การที่ได้เห็นหมีขาวไต่ขึ้นเขานั้นค่อนข้างจะเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก
บ่ายวันนั้นฝนตกตลอด แต่ว่าอุณหภูมิอยู่ในราว แปดองศาเซลเซียสเท่านั้น โดยส่วนตัวฉันไม่รู้สึกหนาวเลยเพราะไม่มีลมพัดมาเป็นตัวช่วย แต่หลายคนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น
ระหว่างที่มีเล็กเชอร์ตอนเย็น รอบินอธิบายให้ฟังว่าเหตุใด เราจึงจะมีงานเลี้ยง farewell cocktail และอาหารเย็นกันในวันนั้น ทั้งๆที่ยังมีเวลาอีกถึงสองวัน กว่าจะถึงฝั่ง รอบินอธิบายว่า วันรุ่งขึ้นเราจะไปธารน้ำแข็ง สิบสี่กรกฏาคม และ เกาะ Ny Alesund ซึ่งกินเวลานาน เมื่อกลับมาอาจจะช้าเกินไปก็ได้สำหรับการจัดงาน
ในช่วงค็อกเทล กัปตันได้คุยว่า โชคดีมากสำหรับพวกเราที่อากาศไม่เลวร้ายจนเกินไป และเราได้มีโอกาสเห็นหมีขาวในโอกาสต่างๆกัน เขาได้แนะนำลูกเรือต่อพวกเราอีกครั้งหนึ่ง ความน่ารักของคนในประเทศที่ศิวิไลซ์แล้วก็คือ เขามักจะให้เกียรติและเครดิตแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเสมอ ไม่เอาความดีเป็นของตนเองคนเดียว เหมือนผู้นำในประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศ ที่มักจะให้ความสำคัญแก่ตัวเองมากกว่าผู้คนที่อยู่ล้อมรอบ โดยไม่คิดว่าถ้าไม่มีพวกเขาแล้ว ตนเองจะไม่สามารถทำงานในหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเลย
Farewell Cocktail และ dinner ของกัปตันครั้งนี้เป็นการเลี้ยงร่ำลาจริงๆ ทั้งเพื่อกล่าวคำอำลาต่อแขก และสำหรับเขาที่จะกล่าวคำอำลาต่อลูกเรืออีกต่างหาก เนื่องจากตัวเขาเองจะถือโอกาสไปฮอลลิเดย์พักผ่อนแบบยาวอีกด้วย เมื่อได้ส่งเราถึงฝั่งเรียบร้อยแล้ว
วันที่แปดของการเดินทาง Silversea Explorer แล่นไปจอดสมอที่ Krossfjorden ใกล้ๆกับ ธารน้ำแข็ง 14th July Glacier ซึ่งเป็นฝั่งที่สวยงามและน่าทึ่งที่สุดในเขต Svalbard ด้านหลังเป็นธารน้ำแข็งที่อยู่สูงขึ้นไปถึง ๗๐๐ เมตร เมื่อเรือ zodiac จอดให้ลงที่ฝั่ง เราก็ได้รับคำอธิบายว่า เรามีทางเลือกที่จะเดินถึงสองทาง คือทางหนึ่งขึ้นไปบนธารน้ำแข็ง เพื่อให้แขกได้สัมผัสกับธารน้ำแข็งอย่างแท้จริง และจะมีนักธรณีวิทยาคนหนึ่งนำไปพร้อมคำอธิบายต่างๆเป็นความรู้
อีกทางหนึ่งจะพาไปสู่โขดหินอันเป็นที่อยู่ของฝูงนก และมีสวนพืชพรรณที่แขวนอยู่ข้างใต้ (Hanging Moss Garden) ฝูงนก Kittiwakes จำนวนเป็นหมื่นและนกที่จัดอยู่ในประเภทนกนางนวล ต่างก็ทำรังอยู่ในโขดหินแถบนี้ เราเดินเลียบไปตามฝั่งที่ขรุขระไปด้วยหินก้อนใหญ่ๆ เดินค่อนข้างลำบากแต่น่าสนใจ หาดแห่งนี้เคยมีลำธารน้ำแข็งที่ได้ค่อยๆหดหายไปตามกาลเวลา จากหาดที่ว่างเปล่ามีแต่หินและก้อนกรวดหยาบๆ เราเดินมาถึงหาดที่ค่อยๆเริ่มมีสีเขียวขึ้นทีละน้อยจากหญ้ามอส ได้ยินเสียงนกร้องจากไกลๆ ได้เห็นกวางเรนเดียร์เล็มหญ้าหาอาหารอยู่บนเนิน ชายฝั่งแห่งนี้เป็นที่อาศัยของห่านชนิดต่างๆด้วยอีกต่างหาก วิทยากรบอกว่าถ้าโชคดี บางครั้งจะได้เห็น Arctic Fox ด้วย
พืชพรรณในสวนแห่งนี้ เกิดจากดินที่ชื้นและจากปุ๋ยที่ได้จากนก ดังนั้นจึงมีหญ้ามอสโตตามซอกหิน แลดูเหมือนแขวนเอาไว้ เช่นเดียวกับพืชพรรณไม้เล็กๆชนิดอื่น และดอกไม้สีต่างๆที่ขึ้นคลุมดินทั่วไป เป็นภาพที่สวยงามมาก ในบรรยากาศเช่นนี้ วิทยากรบอกว่าเขานับพืชพรรณได้ทั้งหมดถึงสิบแปดชนิด
ขากลับเรือ zodiac จอดให้เราดูโขดหินทรายอีกแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยนกชนิดต่างๆเช่นกัน การออกไปเที่ยวในเช้าวันนี้จึงให้ความรู้หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัตว์ พืชพรรณไม้ หรือธารน้ำแข็ง
หลังอาหารกลางวัน เรือ zodiac ได้พาเราไปขึ้นฝั่งที่เกาะ Ny Alesund พอมีประกาศว่าเรือจะไปจอดให้ลงบนฝั่งที่แห้ง ฉันรู้สึกดีใจเป็นอันมากที่จะได้เปลี่ยนชุดที่ใส่อยู่ทุกวันทั้งเช้าและบ่ายเสียที แม้ว่าจะเป็นในช่วงระยะเวลาสั้นๆก็ตาม เพราะการเดินด้วยรองเท้าบู๊ทยางเหยียบไปบนหินก้อนโตๆ หรือชายหาดที่เต็มไปด้วยทรายหยาบนั้นไม่สนุกเลย เพราะการเดินแบบนี้ ต้องมีรองเท้าพิเศษสำหรับเดิน รองเท้ายางบู๊ทจะดีก็ตอนที่กระโดดจากเรือลงไปในน้ำเท่านั้น เพราะฉนั้น พอรู้ว่าจะไม่มีการลงจากเรือไปสู่น้ำ ฉันจึงจัดการเปลี่ยนไปใส่ชุดที่ใส่เล่นสกีสีเขียวซึ่งให้ความอบอุ่นเช่นเสื้อ parka แต่เท่ห์กว่ามาก ใส่รองเท้านักกีฬาสำหรับเดินธรรมดา ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตาเห็น เพื่อนๆที่ร่วมเดินทางด้วยชมว่าใส่แล้วสวย ต่างก็ถามว่าฉันเล่นสกีหิมะด้วยหรือ เพราะด้านหลังเขียนไว้ว่า Born to Ski สำหรับคุณผู้อ่านที่เป็นแฟนคลับ ก็คงจะทราบนะคะ ว่าฉันเล่นสกีหรือเปล่า
Ny Alesund ตั้งอยู่ที่ปากน้ำของ Kongsfjorden เคยเป็นเมืองขุดถ่านหินมาก่อน เมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบ มีนักลงทุนชาวนอร์เวย์กลุ่มหนึ่งที่อยู่ที่เมือง Alesund ได้ซื้อสิทธิ์ที่จะทำเหมืองถ่านหินให้ชื่อว่า บริษัท Kings Bay Kull แต่การทำเหมืองในแถบนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากเพราะถ่านหินอยู่ลึกลงไปถึง หนึ่งพันเมตร เรียงแบบอัดกันมากจนอาจจะทำให้เกิดมีแก๊สเมเธน ที่จะก่อให้เกิดการระเบืดขึ้นได้
ในสมัยนั้นเจ้าของนายทุนไม่สนใจกับความเป็นอยู่ของชาวเหมือง เอาแต่กดขี่ทุกอย่างเพื่อหากำไรให้แก่ตนเอง ตั้งร้านขายของเครื่องใช้เอาไว้ขาย เพราะฉนั้นเงินที่คนขุดถ่านหินได้มาด้วยความยากลำบาก ก็ต้องมาจับจ่ายใช้สอยในเรื่องการกินการอยู่ประจำวัน นอกจากนั้นยังต้องใช้เงินจากกระเป๋าตนเอง ซื้อเครื่องมือสำหรับขุดถ่านหินเองอีกด้วย บ้านที่พักก็ต้องเช่าจากนายทุน เงินที่หามาได้จากการทำเหมือง ก็กลับเข้ากระเป๋าของนายทุนไปโดยปริยาย จนพวกเขาไม่มีเงินเหลือเก็บเลย
ในที่สุดบริษัท Kings Bay Kull ก็จำต้องปิดตัวไป หลังจากการที่มีการล่มจมทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World’s Great Depression) จำเป็นต้องขายให้แก่รัฐบาลนอร์เวย์ในปี ๑๙๒๙ คราวนี้คนงานได้รับสวัสดิการดีขึ้น บริษัทสร้างโรงเรียนให้เด็กๆ สร้างโรงพยาบาลไว้บริการรักษา ในตอนนั้นมีชาวเหมืองพร้อมครอบครัวมาอาศัยอยู่ถึง ๒๐๐ คน อย่างไรก็ดีเหมืองก็ยังมีอันตรายด้วยแก๊สเมเธน มีการระเบิดอยู่หลายครั้ง มีคนตาย จนในปี ๑๙๖๒ มีการระเบิดเป็นครั้งสุดท้าย มีคนตาย ๒๑ คน รัฐบาลนอร์เวย์ภายใต้การนำของนาย Einer Gerhardsen แสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลาออก ซึ่งเป็นความงดงามของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยแท้ ในที่สุดเหมืองก็ต้องปิดเพราะดำเนินงานต่อไปอีกไม่ได้ บริษัทอื่นๆก็ไม่กล้าที่จะเปิดเหมืองขึ้นมาอีก ผู้คนก็เลยอพยพออกไป เมือง Ny Alesund จึงถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้างนานหลายปี
ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในแถบขั้วโลกเหนือได้ค้นพบว่า เมืองนี้มีบรรยากาศเหมาะสมสำหรับการทำการค้นคว้าอย่างแท้จริง จึงได้เปิดศูนย์ค้นคว้าขึ้นในปี ๑๙๖๖ มีนักวิชาการอยู่ประจำถึงหนึ่งร้อยคนในฤดูร้อนและประมาณห้าสิบในฤดูหนาว แต่ศูนย์ก็เปิดทำงานทั้งปี มีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายชาติด้วยกัน เช่นชาวอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน ญี่ปุ่น ฮอลแลนด์ เกาหลี แม้กระทั่งชาวจีนที่เพิ่งมาเปิดที่ทำการไม่นานมานี่เอง แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ถึง ยี่สิบคน มีศูนย์ที่อยู่ติดทะเล มีสิงห์โตสองตัวเป็นสัญลักษณ์อยู่หน้าประตู
Ny Alesund มีทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ถิ่นนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆที่มีเกสท์เฮาส์ และโรงแรมเล็กๆสร้างขึ้นมาบ้าง เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยแก่นักท่องเที่ยว แต่ในที่สุดก็ได้กลายเป็นที่อยู่ของนักวิจัยชาติต่างๆที่มาเช่า สถานที่พักสะดวกสบาย มีอาหารจัดให้วันละสี่มื้อในโรงอาหารใกล้ๆ ตามธรรมดาจะไม่มีที่พักเหลือให้คนอื่นๆที่มาเที่ยว นอกจากว่าจะมีที่ว่างให้ แต่คนที่จะเข้ามาพักก็ต้องอธิบายเหตุผลของการมาอยู่ เนื่องจากเกาะนี้เข้มงวดมากในเรื่องสิ่งแวดล้อม มีรถวิ่งน้อยมาก และรถที่วิ่งอยู่จะต้องวิ่งไปบนถนนจะไปวิ่งนอกถนนไม่ได้เป็นอันขาด ส่วนผู้คนก็ต้องเดินไปตามถนน จะไปเดินสะเปะสะปะตามใจชอบไม่ได้ เพราะนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องทำงานในเขตที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่อาจจะให้มีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามาวุ่นวายทำลายสิ่งที่เขากำลังค้นคว้าและวิจัยได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเกาะนี้มีท่าเรือที่สะดวก เรือใหญ่สามารถทอดสมอได้สบายจึงมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาแทบทุกวัน เพื่อเยี่ยมชม ศูนย์วิจัย แต่ก็ไม่พักค้างคืน
ลงจากเรือแล้วเราก็เดินไปสำรวจสถานที่ พบว่าไม่มีร้านรวงอะไรเลย นอกจากร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ ขายของจิปาถะ เช่นโปสการ์ด เสื้อยืด และสิ่งของที่ฉันเรียกว่า Kitsch หรือขยะ ข้างหน้าร้านมีเขากวางคู่หนึ่งแขวนอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านก็ต้องถอดรองเท้าออกมีพิพิทธภัณฑ์แสดงเครื่องมือสำหรับการขุดถ่านหิน มีป้ายชี้ให้เห็นทางเดินไปสถานที่ต่างๆ มีไปรษณีย์ Ny Alesund ซึ่งเป็นไปรษณีย์ที่อยู่เหนือสุดของโลก ฉันได้เข้าไปตอกแสตมป์หลอกๆในหนังสือเดินทาง ตอกแล้วก็เสียดายกระดาษในหนังสือเดินทาง เพราะเป็นตราที่ใหญ่มาก กินที่ในหนังสือเดินทางที่กำลังจะหมดหน้าสำหรับทำวีซ่าพอดี
ในขณะที่เดินไปตามถนน ก็มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพื่อนร่วมเดินทางชาวอเมริกันคนหนึ่ง เดินอยู่ดีๆ ก็มีนก Arctic Tern บินมาจิกหัวเอาดื้อๆ ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของทุกคน โชคดีที่เธอจำวิธีป้องกันตัวได้จากคำอธิบายของรอบิน จึงสามารถป้องกันตนเองได้ ไม่ให้นกมันจิกจนเลือดออกโชกด้วยการใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นปกป้อง และเดินถอยหลังหันหน้าสู้นก จนมันบินหนีไป ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เดินต่อไปอีกหน่อยก็เห็นหมาอาร์คติคที่เขาขังเอาไว้ หมาพวกนี้มีไว้สำกหรับลาก sledge บรรทุกของ เราเดินไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกตามสถานที่ต่างๆ ทั้งที่เป็นที่พักและสถานที่วิจัยที่ทาสีหลากสี เช่นสีฟ้า สีแดง สีส้ม และสีน้ำตาลเป็นต้น ยังไม่ทันไรก็ถึงเวลากลับลงเรือ zodiac บ่ายวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกผ่อนคลายที่ได้เดินไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องอยู่ในความดูแลของใครเป็นพิเศษ
วันที่เก้าของการเดินทาง ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในเรือสำราญลำนี้ ก่อนที่จะเก็บข้าวของสัมภาระใส่กระเป๋า ไปวางไว้หน้าสวีทของเราในตอนกลางคืน เพื่อเอาไปขึ้นรถไปสนามบินในวันรุ่งขึ้น
วันนี้เราจะไป St. Jonsfjord ซึ่งถึงแม้จะมีทิวทัศน์สวยงาม แต่ก็มักจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาสักกี่คนนัก เพราะการที่จะมาที่นี่ได้ ต้องมาโดยเรือพิเศษลำเล็กเช่นของเรา เรือ zodiac พาไปขึ้นฝั่ง คราวนี้จำเป็นต้องสรวมรองเท้าบู๊ทยางอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการขึ้นฝั่งแบบ wet landing เมื่อไปถึงจึงได้เห็นว่าข้างๆหุบเขาของลำธารน้ำแข็งเต็มไปด้วยพืชพรรณไม้ชนิดต่างๆ และดอกไม้ขึ้นสวยงาม อีกครั้งหนึ่งที่พวกเรามีอิสระที่จะเดินไปตามทางที่เราต้องการ ช้าหรือเร็วตามใจปรารถนา เขาวางธงกำหนดจุดให้เดินเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่เดินหลงไปในจุดที่เป็นอันตรายแก่ตัวเองและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ดี พวกการ์ดพร้อมปืนและกระสุนก็เฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่เป็นระยะๆ ในขณะที่หลายคนไต่ขึ้นไปบนเนินเขาของลำธารน้ำแข็งเพื่อดูวิว ฉันใช้เวลาสำรวจและชมดอกไม้ดอกเล็กๆสีสวยที่ขึ้นอยู่ทั่วไป เพราะการจะเดินขึ้นเนินไปกับรองเท้าบู๊ทยางเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย นึกย้อนหลังฉันน่าจะเอารองเท้าสำหรับเดิน hiking ติดตัวมาด้วยสำหรับเปลี่ยน ถึงกระนั้น ฉันก็ไต่ขึ้นไปเท่าที่กำลังขาและรองเท้าจะอำนวย พร้อมกับดูดอกไม้ไปด้วยตลอดทาง ดอกไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆตามแต่สภาพของดิน แสงแดด ปุ๋ย และน้ำจะเป็นใจ หรือสภาพของ permafrost ที่เล่าให้ฟังแล้วตอนต้นๆสารคดี ดอกไม้ที่เห็นเท่าที่จำได้ มีดอก Polar Willow ดอก Mountain Sorrel ที่เผ่า อีนูอิท Inuit ใช้ต้มกินเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน เพราะมีวิตามินซีมาก นอกนั้นก็มีดอก Moss Campion และดอก Tufted Saxifrage เป็นต้น คุณผู้อ่านต้องดูในรูปค่ะ เพราไม่รู้ชื่อภาษาไทย และไม่ทราบว่าจะมีชื่อในภาษาไทยหรือเปล่า
ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ ดูโน่นดูนี่ ฮวน นักธรณีวิทยาชาวโคลัมเบีย ก็เดินไต่เขาขึ้นมา พร้อมแบกสัมภาระอันหนักอื้ง มากองไว้ตรงหน้า ก็เลยถือโอกาสคุยกันอีก เขามีหนังสือที่เกี่ยวกับดอกไม้อยู่ในมือ บอกฉันว่ากำลังหาความรู้เรื่องดอกไม้ชนิดต่างๆที่ขึ้นอยู่บนลำธารน้ำแข็งแห่งนี้ เพราะปีนี้เป็นปีแรกที่เขาได้เดินทางมากับเรือ Silversea Explorer จึงอยากจะหาความรู้ให้มากที่สุด ทำให้ฉันรู้สึกทึ่งต่อคนที่มีวิชาความรู้ แต่ไม่หลงตนเอง ยังคงแสวงหาความรู้ใหม่ๆอยู่ได้เสมอทุกวัน อันควรจะเป็นบทเรียนอันดีสมควรที่จะเป็นเยี่ยงอย่างแก่เราทุกคน
ตอนบ่ายเรือ zodiac พาเราไปขึ้นฝั่งที่ Alkhornet ซึ่งเป็นโขดหินตะปุ่มตะป่ำอันเป็นที่อยู่ของนกอีกแห่งหนึ่ง Alkhornet ตั้งอยู่ทางเหนือของ Isfjorden ส่วนใหญ่เป็นนกที่เรียกว่า Little Auks ที่อาศัยทำรังอยู่ที่นี่ ได้ยินเสียงร้องที่ร่าเริงของมัน นอกจากนั้นก็มีนกชนิดอื่นๆรนเสัตว์เช่นเรนเดียร์อยู่มากมาย ซึ่งในบ่ายวันนั้น เราก็เห็นเรนเดียร์และเล็มหญ้าอยู่หลายตัว
เรนเดียร์ในแถบ Svalbard แตกต่างไปจากเรนเดียร์บนแผ่นดินใหญ่ คือ มันมักจะไม่เดินทางกันเป็นกลุ่มใหญ่ ส่วนมากมักจะไปตัวเดียว หรือไม่ก็เป็นกลุ่มหลวมๆประมาณไม่กี่ตัว ในช่วงฤดูร้อนและในฤดูผสมพันธ์ตอนช่วงฤดูใบไม้ร่วง พวกมันจึงจะรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ เรนเดียร์มีลำตัวยาวประมาณ ๑.๕ เมตร น้ำหนักตัวประมาณ ๙๐ กิโลกรัม มีขนหนาปกคลุมทั่วลำตัวรวมจนถึงจมูกและปากด้วย ที่ช่วยให้มันต่อต้านอุณหภูมิที่ต่ำและลมที่พัดแรงจัดได้ ส่วนหนังเป็นสีเทาออกน้ำตาลมีท้องเป็นสีอ่อน ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีเขายาว เพียงแต่ว่าเขาของตัวเมียเล็กกว่าของตัวผู้ เรนเดียร์ใน Svalbard ตัวเล็กกว่าและเตี้ยกว่าเรนเดียร์บนแผ่นดินใหญ่ หนังของมันก็หนาและแข็งแรงกว่าเพื่อช่วยให้มันทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำกว่า ๕๐ องศา เซลเซียส ได้
เมื่อต้นศตวรรษที่ ๒๐ มีการล่าเรนเดียร์กันมากมาย แต่หลังจากที่มีกฏหมายคุ้มครองเมื่อปี ๑๙๒๕ แล้ว จำนวนของเรนเดียร์ก็เพิ่มขึ้น ในปัจจุบันเรนเดียร์ได้ขยายจำนวนขึ้นอีกมาก ในหลายแห่ง แถบ Svalbard ในแถบที่มันหาอาหารกินได้
ก่อนห้าทุ่มคืนวันนั้น เราเอากระเป๋าไปวางไว้หน้าสวีท แม้ว่าค่าเดินทางได้รวมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงทิปสำหรับพนักงานทุกคน แต่เราก็ยังอยากจะสมนาคุณพวกเขาที่ได้ดูแลพวกเราอย่างดีเยี่ยมมาตลอดเวลาเก้าวันเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพนักงานในห้องอาหารหรือที่บาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัทเลอร์และรูมเหมด ดูเหมือนกับว่าเขาจะอ่านใจออก และเอาของที่เราต้องการมาวางให้ทุกครั้งโดยที่ไม่ต้องออกปากขอ และมาอย่าง เงียบๆไม่ได้จุ้นจ้านกับเราเลย จึงพูดได้ว่าแม้ว่าราคาการเดินทางครั้งนี้จะสูงลิ่ว แต่ก็เป็นราคาที่คุ้มค่ากับความรู้และความเพลิดเพลินใจกับสิ่งที่ได้รับ เป็นความประทับใจในชีวิตที่ยากจะลืมเลือน
วันที่สิบ แสงแดดแจ่มใสแต่เช้า รถพาเราไปขึ้นเครื่องที่สนามบินของเมือง Longyearbyen ซึ่งได้เล่าแล้วในตอนต้นว่ามีผู้คนอยู่อาศัยสองพันเจ็ดสิบห้าคน เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ไปทางเหนือสุดของโลก รองลงมาจากเมือง Alert Nuanvut ที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าคน ด้วยเหตุที่ตั้งอยู่ที่ขั้วเหนือสุดของโลกหรือ Arctic Circle จึงมีคืนอันมืดมิดที่เรียกว่า polar night ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มีวันอันสว่างสไวทั้งกลางวันกลางคืนที่เรียกว่า polar day ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนสิงหาคม Longyearbyen มีอากาศแบบ tundra ที่เล่าให้ฟังแล้ว นายกเทศมนตรีของเมืองอาศัยอยู่ที่นี่
Longyearbyen สร้างขึ้นในปี ๑๙๐๖ โดยนาย จอห์น มันโร ลองเยืยร์ John Munroe Longyear ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทถ่านหิน Arctic Coal จากบอสตัน Byen เป็นภาษานอร์เวย์แปลว่า เมือง แต่ถูกกองทัพเยอรมันทำลายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
มองไปรอบๆแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเมืองนี้จะมีผู้คนอาศัยอยู่ เพราะนอกจากทะเลและภูเขาที่ล้อมรอบแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เจริญตาเจริญใจเลย เห็นแต่ กองถ่านหินกองโต ซึ่งได้มาจากเหมืองถ่านหินของ Longyearbyen และ Svea ที่จ้างผู้อาศัยที่อยู่ในเมืองเป็นพนักงานถึงครึ่งเมือง
ใช้เวลากว่าสามชั่วโมงสำหรับการบินจากสนามบิน Longyearbyen ถึงเมืองออสโล เราค้างที่เมืองออสโลอีกหนึ่งคืน ก่อนที่จะบินกลับซูริคในวันรุ่งขึ้น อีกไม่กี่วันต่อมาก็มีข่าวการสังหารหมู่ที่ใจกลางกรุงออสโล และบนเกาะ Utoya มีคนตายถึง ๙๓ คน ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้
กำลังจะจบสารคดีชิ้นนี้ ก็บังเอิญได้อ่านหนังสือพิมพ์สวิสวันนี้ (วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๔) ซึ่งลงข่าวว่า ชาวอังกฤษห้าคนได้ไปเที่ยวที่ Spitsbergen แบบเรา แต่จะไปอย่างไร ไม่มีรายละเอียด ได้ถูกหมีขาวเข้าจู่โจม ชายสี่คนได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และถูกนำส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลที่เมือง Tromso ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว แต่เด็กหนุ่มอายุ ๑๗ อีกคนหนึ่งที่ไปด้วยเสียชีวิตแล้วเพราะทนบาดแผลไม่ไหว ส่วนร่างอันปราศจากชีวิตของหมีขาวที่มีน้ำหนัก ๒๕๐ กิโลกรัม นั้นเป็นหมีตัวผู้ และได้ถูกส่งไปผ่าตัดเพื่อดูสรีร่างภายในของมัน
ดังนั้น สิ่งที่การ์ดของเราจากเรือ Silversea Explorer ได้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ จึงไม่เป็นการกระทำที่เกินความจริง หรือว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ให้พวกเราตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะฉนั้นใครก็ตามที่คิดจะไปเที่ยวในลักษณะนี้ โปรดได้เลือกเรือและกลุ่มบริษัทที่เป็นที่เชื่อถือได้ในเรื่องคุณภาพของลูกเรือและความปลอดภัย