จดหมายจากลูเซิร์น ตอน "ไปดูเศรษฐีแข่งม้าในทะเลสาบ"

แม่สายจ๊ะ

ฉัน เพิ่งกลับจากไปเล่นสกีหิมะที่ซังต์มอริตซ์ (St. Moritz) มา เธออย่าเพิ่งอิจฉาฉันล่ะ คราวนี้เราไม่ได้ไปพักที่โรงแรมเหมือนปีที่แล้วๆมาหรอกจ๊ะ แต่ไปเช่าบ้านพักอยู่บนฝั่งทะเลสาบ ความจริงเมื่อสมัยที่ฉันแต่งงานใหม่ๆก็เคยไปพักที่บ้านหลังเดียวกันนี่เอง อยู่กันเป็นเดือนๆเชียวละ บ้านพักหลังนี้เราต้องจองล่วงหน้ากันเป็นปีๆ เพราะระหว่างที่เราไปพักเป็นระยะที่โรงเรียนปิดเทอมใครๆก็อยากไปพักผ่อนเล่นสกีกัน ฉันไม่ใช่เศรษฐีนี่จ๊ะ จะได้ไปมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นั่น

คนสวิสมักจะพูดแบบเยาะเย้ยกันติดปากว่า คนที่มีสตางค์และมีชื่อเสียงแต่ต้องการอยู่กันอย่างเงียบๆไม่เป็นข่าวก็มักจะไปพัก (เล่นสกี) กันที่ซังต์มอริตซ์สำหรับเศรษฐีที่มีชื่อเสียง แต่คงอยากดังขึ้นไปอีก ก็มักจะไปพักกันที่เมืองเกสต๊าด ที่อยู่ในแถบที่เรียกกันว่าเบอร์เนอร์โอเบอร์แลนด์ ถ้าจะบอกง่ายๆให้คุ้นหูคนไทยหน่อย ก็ขอบอกว่า ไปทางเดียวกับเมืองอินเทอร์ลาเค่นนั่นเอง

เธอคงนึกหมั่นไส้ฉันละสิว่า แล้วฉันล่ะ สตางค์ก็ไม่มี แถมยังขาดชื่อเสียงอีกด้วย แล้วทำไมถึงยังสะเออะไปเที่ยวซังต์มอริตซ์ได้ทุกปี แหม ก็ฉันมันเป็นประเภทเงินเดือนน้อย รสนิยมสูงนี่จ๊ะ ก็ต้องตะเกียกตะกายไปทุกปีจนได้ละนะ

อยากจะรู้บ้างไหมล่ะว่าเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงระดับโลกที่มีบ้านพักอยู่ที่นี่น่ะ มีใครกันบ้าง แม่หนูน้อยอายุ 10 ขวบ อาเธน่า โอนาสซิส ลูกสาวของคริสติน่า โอนาสซิส ที่ตายไปแล้วเมื่อสัก 6-7 ปีที่แล้ว นั่นก็คนหนึ่งละ อาเธน่าเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองโลซานน์ แต่มักจะไปพักผ่อนเล่นสกีกับพ่อชาวรัสเซียกับน้องต่างแม่อีกสองคนทุกปี

ไฮโซอีกคนหนึ่งที่มีวิลล่าอยู่ที่นี่ก็คือ แม่ม่ายทรงเครื่อง เอเลียต ฟอนคารายาน เมียของเฮอร์เบิร์ต ฟอนคารายาน ผู้กำกับวงดนตรีที่มีชื่อเสียงก้องโลก แต่ตายไปได้สัก 3-4 ปีมาแล้วแกแน่จริงๆ ฉันละยกนิ้วให้เลย ขนาดแก่งั่ก เดินแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์ให้คนพยุงไปกำกับวงดนตรีของแกเลย เธอเอ๋ย อันนี้ฉันไม่ได้ฟังขี้ปากคนอื่นมาโม้นะ เห็นกับตาตัวเองเชียวละตอนที่แกมากำกับวงดนตรีที่ลูเซิร์นก่อนตาย ความที่อยากอยู่สงบจริงๆ วิลล่าของคุณเอเลียตไม่มีแม้แต่ป้ายบอกชื่อ

แล้วลองทายซิว่าเพื่อนบ้านติดๆกันของเธอคือใคร แหม ก็คาริมอากาข่าน น่ะสิ

ความจริงนายคารายานนี่แกเป็นจีเนียสทีเดียวละ แต่ผู้คนใกล้ชิดมักจะบ่นว่าแกจองหองเสียไม่มี แกถือว่าแกเป็นสุดๆ ใครๆก็สู้ไม่ได้ มีโจ๊กเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตัวแก ครั้งหนึ่งในงานกินเลี้ยง การสนทนาในโต๊ะอาหารก็เกี่ยวกับเรื่องดนตรีนี่แหละ เจ้าของบ้านเล่าให้แขกฟังว่า เขาไปชมคอนเสิร์ตมา ชาวญี่ปุ่นที่กำกับวงนั้นฝีมือแน่จริงๆ พระผู้เป็นเจ้าคงจะส่งเขาลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อให้ความรื่นรมย์แก่มวลมนุษย์เป็นแน่แท้ นายคารายานได้ยินเข้าก็เลยตอบไปอย่างหัวเสียว่า “ผมไม่ได้ส่งเขาลงมานะครับ” ฮา

นอกจากนั้นก็ยังมีนายโจวันนี่อัคแนลลี่ บอสใหญ่ของรถยนต์เฟียตเพื่อนชาวซังต์มอริตซ์เล่าให้ฉันฟังว่าตอนแรกแกก็มีวิลล่าเพียงหลังเดียว แต่มาเมื่อสักหกปีก่อน แกอาจจะเห็นว่าวิลล่าที่มีอยู่เดิมจะเล็กไป แกก็เลยซื้อมันเสียอีกหลังหนึ่งอยู่ติดๆกัน ราคาแค่สี่ล้านฟรังก์ฝรั่งเศส เธอต้องคูณด้วยยี่สิบ จะได้เป็นเงินบาท แกสั่งให้ก่อสร้างทางลับใต้ดินเชื่อมกันระหว่างบ้านสองหลังนี้ เพราะไม่อยากให้มีสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนภายนอกมาจ้องดูว่าแกทำอะไรหรือไม่ทำอะไรบ้าง เวลาออกจากบ้านไปไหนๆแกก็ซื้อเฮลิคอปเตอร์ไป เท่ซะไม่มี

เอาอีกคนนะ คนสุดท้าย ความจริงยังมีอีกเยอะแยะ กลัวเธอจะรำคาญอ่านแต่เรื่องของพวกเศรษฐี แต่ก็สนุกดีจริงไหม คนนี้เป็นชาวสวิส ชื่อเบิร์กมาร์ควาร์ด อายุ 48 ปี มีเมียเป็นสาวเอ๊าะ ชื่อพริสซิลล่า อายุแค่ 29 เอง อะไรจะขนาดนั้น นายมาร์ควาร์ดเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ รู้ไหม แกเช่าบ้านอยู่ที่ไหน ก็บนหอคอยรูปพีระมิดของโรงแรมพาเลซน่ะสิทูนหัว คนขี้อิจฉาตาร้อนก็พูดพึมเป็นเสียงเดียวกันว่าแกช่างโชคดีเหลือหลาย ที่เพ้นท์เฮ้าส์ของแกมีทำเลและวิวที่สวยที่สุดในประเทศในขณะที่ผู้คนชาวสวิสอีก 79 เปอร์เซ็นต์ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ต้องเช่าเขาอยู่กันตั้งแต่เกิดจนตาย ฮึม…แล้วไอ้โรงแรมพาเลซน่ะ มันตั้งอยู่บนทะเลสาบของซังต์มอริตซ์ มองออกจากหน้าต่างก็จะเห็นวิวสวยสะบัดช่อไปเลย

ความจริง ซังต์มอริตซ์ไม่ได้เป็นเมืองหรอกนะจะบอกให้ เป็นแต่เพียงหมู่บ้านเล็กๆ มีพลเมืองที่เป็นชาวบ้านแท้ๆอยู่เพียง 6,000 คนเท่านั้นนอกนั้นก็เป็นคนที่มาพักอยู่เที่ยวชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จากไป ซังต์มอริตซ์ไม่มีอตสาหกรรมอื่นใดนอกจากกิจกรรมการท่องเที่ยว ทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาวถ้าเธอดูในแผนที่สวิสจะเห็นว่า ซังต์มอริตซ์ตั้งอยู่ในเขตเองกาดีน (ENGADIN) ซึ่งอยู่ระหว่างเทือกเขาแอลป์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ และมีความสูง 1,865 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซังต์มอริตซ์ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีอากาศแบบแชมเปญ แม้ว่าจะตั้งอยู่ในที่สูงและบ่อยครั้งที่อุณหภูมิลดลงจนถึงลบยี่สิบกว่าองศาหรือมากกว่านั้น อากาศก็ไม่หนาวแบบที่จะทำให้ทนไม่ได้ เพราะเป็นความหนาวแบบแห้ง ไม่เปียกเหมือนกับความหนาวของบางแห่งที่อุณหภูมิจะต่ำกว่า แต่มีความชื้นมากกว่า และในฤดูร้อน อากาศก็สดชื่อมากกว่า ไม่เหนียวตัวเหนอะหนะ ทั้งๆที่แสงอาทิตย์ทางตอนใต้ได้ชื่อว่าร้อนกว่าทางตอนเหนือ

ในฤดูหนาว นักเล่นสกีย่อมแน่ใจได้ว่าจะได้เล่นสกี เพราะมีหิมะตกแน่ๆในขณะที่ที่อื่นเอาแน่ไม่ค่อยจะได้ ตกบ้างไม่ตกบ้าง ขอโทษที่ ฉันพูดโกหกเธอไปหน่อย ปีนี้เป็นปีแรกที่ฉันชักไม่ค่อยจะแน่ใจว่าหิมะจะตกหรือไม่ตกกันแน่ จนย่างเข้าวันที่ 15 เดือนมกราคมแล้วก็ยังไม่มีหิมะตกที่ซังต์มอริตซ์จนเพียงพอเลย เล่นเอานายฮันส์เปเตอร์ดานูเซอร์ ผู้อำนวยการสมาคมการท่องเที่ยวของซังต์มอริตซ์ใจหายใจคว่ำ แกต้องผูกคอตายแน่ๆถ้าไม่มีหิมะ พวกแขกไฮโซมาถึงกันแล้ว เห็นได้จากรถเบนซ์ รถเรนจ์โรเวอร์ รถบีเอ็มดับบลิวรถโรลสรอยซ์สีน้ำเงินแก่ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกันขวักไขว่จากโรงแรมพาเลซ ยิ่งรู้ว่าแกกำลังกลุ้มๆ พวกนักข่าวก็ช่างสาระแนไปถามแกว่าพอจะประมาณได้ไหมว่ามีแขกวีไอพีมาถึงกี่คนแล้ว ใครจะไปตอบได้ (วะ) ก็ต้องรอให้ทางโรมแรมส่งรายชื่อมาก่อนสิ (โว้ย) เวลาเก็บภาษีของนักท่องเที่ยว ข้าถึงจะบอกเอ็งถูก

ทั้งหมดนี่ฉันพูดเอาเองนะ นายดานูเซอร์แกไม่ได้พูดหรอก ส่วนนายเคิร์น อิลลี่ ผู้อำนวยการสมาคมการท่องเที่ยวของลูเซิร์น (เจ้าเก่า) ที่เป็นแขกขอประจำของที่นี่เหมือนกัน ให้สัมภาษณ์ว่า เท่าที่แกใช้สายตาอันแหลมประมาณดู ครึ่งหนึ่งของโรงแรมเท่านั้นที่มีแขกพัก แกอาศัยดูจากแสงไฟที่ส่องออกมาทางหน้าต่างของห้องที่แขกพักระหว่างเวลาหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม เพราะนั่นเป็นเวลาที่แขกส่วนใหญ่ขึ้นห้องไปพักเพื่อรอเวลาลงมากินอาหารเย็น อย่างไรก็ดี ตามข่าวเห็นว่าห้องอาหารเต็มหมดในตอนเย็น อาจจะเป็นแขกจากภายนอกก็ได้

ส่วนโรงแรมห้าดาวอีกสามแห่ง คือ ซูวาเรตต้า โรงแรมคูลม์ และโรงแรมคาลตัน เพื่อนชาวซังต์มอริตซ์บอกฉันว่าเต็มหมด เขายังเล่าต่อไปว่า เจ้าของโรงแรมคูลม์เป็นเศรษฐีชาวกรีก แต่เดี๋ยวนี้ในโรงแรมนี้มีแต่แขกเศรษฐีใหม่ชาวรัสเซียพักอยู่ แต่ก่อนเมื่อสมัยที่ชาวอังกฤษยังมีสตางค์ (เพราะมีเมืองขึ้นทำเงินให้) ไม่จนกรอบเหมือนเดี๋ยวนี้พวกเขามักจะพักกันอยู่ที่โรงแรมคูลม์

พวกห้างร้านต่างชอบแขกชาวรัสเซียกันทั้งนั้น เพราะจ่ายไม่อั้น แถมจ่ายเงินสดซะอีกด้วย เงินพลาสติกไม่รู้จักนอกจากนั้นยังช่วยต่ออายุเวลาคริสต์มาสช็อปปิ้งไปจนถึงเดือนมกราคมอีกต่างหากเพราะพวกเขาฉลองวันคริสต์มาสกันต้นเดือนมกราคม จะเป็นวันที่เท่าไหร่ ฉันจำไม่ได้แล้ว ส่วนวันส่งท้ายปีเก่าของพวกเขา คือ วันที่ 13 มกราคม เมื่อปีที่แล้วพวกเขายังพักอยู่ที่โรงแรมพาเลซอยู่เลย ฉันเห็นเขาใช้โทรศัพท์มือถือพูดคุยแถวๆสระน้ำโรงแรม แต่จะคุยเรื่องอะไร ฉันไม่รู้ ก็ฉันรู้ภาษารัสเซียเสียเมื่อไหร่ล่ะ

สำหรับแขกพวกนี้ หิมะไม่พอสำหรับเล่นสกีก็ไม่เป็นไร นอกจากช็อปปิ้งแล้วก็มีกิจกรรมอย่างอื่นให้ทำอีกมากมายในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืน พวกผู้หญิงก็งัดเอาเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาสดๆร้อนๆจากบูติกที่มีชื่ออกมาใส่ ล้วนแต่แฟชั่นของนักออกแบบมีชื่อทั้งนั้น สนนราคาแต่ละชุดที่ฉันเห็นในร้านก็ตกอยู่ในราว 3,000-5,000 ฟรังก์เพราะออกแบบโดยนักออกแบบดัง เช่น จิอานนี่ เวอร์ซาเช่, ปราด้า หรือไม่ก็ดอนน่า คาแรน ฉันเห็นแล้วน้ำลายหกตายไปแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติก็คงจะไม่มีปัญญาซื้อ

ทีนี้พอมีเสื้อผ้าสวยๆใส่กันแล้วจะนั่งจับเจ่าอยู่ในล็อบบี้ก็เกินไป เขาต้องออกไปเที่ยวไนต์คลับกันน่ะสิ เพื่อนฉันที่เป็นชาวซังต์มอริตซ์แท้ๆได้แต่กลอกหน้าบอกว่า เวลาแห่งความรุ่งโรจน์ในสมัยก่อนของซังต์มอริตซ์นั่นหมดไปแล้วสมัยที่พวกไฮโซระดับโลก เช่น จันนี่ อัคแนลลี่, เฟรดดี้ ไฮเนคเค่น, เอเลียต ฟอน คารายาน และกลอเรีย ฟอน เธิร์น อุนด์ ทักซี่ส์ เที่ยวได้ไปสนุกสนานหาความบันเทิงกันในคลับนั้นไม่มีอีกแล้วเพราะอย่างที่ฉันเล่าให้เธอฟังข้างต้นพวกนี้เขาใช้ชีวิตหรูหรากันพอแล้ว จึงอยากอยู่กันเงียบๆ ไม่อยากดังอีกต่อไปอาจจะไปเดินเล่นตามทะเลสาบ หรือไม่ก็เล่นสกี

ฉันก็เถียงเพื่อนว่าเขาขี้บ่นไปตามประสาคนแก่ จะให้คนเหมือนเดิมได้อย่างไร คนเก่าไป คนใหม่ๆก็เข้ามาแทนที่ ยุคสมัยนั้นเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้พวกเจ๊ทเซ็ทใหม่ๆ (ขอแถมนิดเถอะเรื่องออกเสียงตัวเจในภาษาอังกฤษนี่คนส่วนใหญ่ชอบออกเสียงเป็นตัว ย ยักษ์กันดีนัก เพราะฉะนั้นเวลาออกเสียงคำว่า jet set ก็ระวังกันไว้ให้ดีนะ) ดารานักเที่ยวกลางคืนคนใหม่ของซังต์มอริตซ์เท่าที่ฉันซอกแซกรู้ก็มี มารีน่าโจรี่ ทายาทคนหนึ่งของสวารอฟสกี้ กับลูกสาวอีกสองคน

ทะเลสาบ ของซังต์มอริตซ์กลับกลายเป็นทะเลสาบน้ำแข็งในฤดูหนาวกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันหลายประเภท เช่น การแข่งขันกอล์ฟรู้สึกว่าจะมีแห่งเดียวในยุโรป มีการแข่งขันเคิร์ลลิ่ง มีการแข่งหมา เธออ่อนถูกแล้วจ๊ะ การแข่งหมาที่นี่ทำกันมาได้ 8 ปีแล้ว มีการแข่งหมาประเภทต่างๆกัน เขาใช้กระต่ายปลอมแล้วดึงชักรอกพวกหมามันก็วิ่งตาม ตัวไหนวิ่งไปถึงหลักชัยก่อนก็ชนะไป เจ้าของก็เดินหน้าบานออกมารับรางวัล

มีเหมือนกันที่เจ้าหมาทรยศ ไม่ยอมออกวิ่ง ร้อนถึงเจ้าของต้องออกมาอุ้มมันออกไป ก่อนการแข่งขัน ไอ้หมาพวกนี้ก็ต้องมีวอร์มอัพเหมือนกันนะเจ้าของต้องใช้ครีมนวดกล้าม (แบบที่ฉันใช้เป็นประจำก่อนแข่งขันเทนนิส) นวดมันจนได้ที่แล้วถึงจะปล่อยให้ออกไปวิ่งฉันถามเจ้าของหมาคนหนึ่งว่าเขาต้องพามันออกไปฝึกซ้อมบ้างไหม เขาบอกไม่ต้อง มันวิ่งของมันเอง มีอยู่ปีหนึ่งที่ฉันไปเชียร์เสียเสียงแหบ จนคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆคิดว่าเป็นหมาของฉัน ความจริงเปล่าหรอก เชียร์ไปอย่างนั้นเอง ดูกีฬาแล้วไม่เชียร์จะไปสนุกอะไรกัน

แต่ที่ฉันชอบมากที่สุด คือ การแข่งม้าประเภทต่างๆ มีการแข่งขันโปโลบนหลังม้าที่ฉันชอบมาก เพราะระลึกถึงความหลังเมื่อตอนที่ฉันไปดูเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ของอังกฤษแข่งโปโลเมื่อหลายปีที่แล้วที่เมืองปีเตอร์สฟีลด์ในอังกฤษ และฉันได้เห็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์เป็นครั้งแรกที่นั่นด้วย โม้อีกแล้วเพื่อนเธอ ฉันไม่ได้รับเชิญหรอก ใช้วิธีเกทแครชน่ะ หมายถึงเดินเข้าไปเฉยๆ แหะๆ

มีการแข่งขันประเภทมีจ๊อกกี้แบบที่เธอเห็นแข่งกันในสนามม้าในกรุงเทพฯแต่แทนที่ม้าจะวิ่งไปบนสนามธรรมดา ก็วิ่งไปบนน้ำแข็งในทะเลสาบ มีการแข่งประเภทลาก คือเจ้าของนั่งไปบนรถข้างหลังม้า แล้วบังคับให้ม้าลากไป ฉันลืมไปแล้วว่าเรียกว่าอะไร และมีการแข่งขันอีกประเภทหนึ่งเรียกว่าสกีเยอริ่ง (Skioring) เธอจะสังเกตว่าฉันเขียนตัวเจเป็นตัว ย ยักษ์ในภาษาไทยในที่นี้ เพราะนี่เป็นภาษาเยอรมัน และในภาษาเยอรมันเธอออกเสียงตัวเจเป็นตัว ย ยักษ์ จ้ะการแข่งขันประเภทนี้มีม้าวิ่งอยู่ข้างหน้าแล้วลากเจ้าของที่ใส่สกีวิ่งตามไปข้างหน้ามีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้บอกฉันว่า การแข่งขันประเภทนี้ยากและอันตรายมากทั้งม้าและคน กว่าจะเป็นจนเก่งก็ต้องอาศัยเวลาและความอดทนมาก

วันแข่งขันฉันก็ได้เห็นด้วยตาว่าเป็นความ เพราะในขณะที่ม้าวิ่งไปโดยเร็วก็เกิดเสียหลักล้มลงขาหัก วิ่งต่อไปไม่ได้ ล้มลงนอนเกลือกกลิ้งด้วยความเจ็บปวด สักครู่ก็มีรถปฐมพยาบาลของม้ามาให้ความช่วยเหลือ บุรุษพยาบาลพยายามจะพาม้าเข้าไปในรถ แต่ม้าไม่ยอมเข้า เขาเลยตัดสินใจฉีดยาให้ม้าหลับ (ตาย) เด็กสาวเจ้าของม้าเสียใจร้องไห้ไม่หยุด ทำเอาฉันน้ำตาแทบจะร่วงตามไปด้วย

ขณะที่หยุดพักการแข่งขันในตอนกลางวัน เราก็ออกไปซื้อเครื่องดื่มและอาหารประเภทไส้กรอกปิ้งมากินกันเพราะถือยืนกินสะดวกดี ไม่เลอะเทอะกินไปฉันก็สอดสายตาและดูผู้คนรอบๆเห็นหลายคนทั้งผู้หญิงและผู้ชายใส่เสื้อขนมิ้งค์กันเป็นแถวๆ แปลกจัง เวลาดูพวกเขาใส่เสื้อขนมิ้งค์ที่นี่แล้ว ฉันไม่ยักกะรู้สึกขัดตา บรรยากาศดูจะเข้ากันดีแต่ถ้าไปเห็นในสถานที่อื่น ฉันจะรู้สึกเขม่น ฉันเองก็มีอยู่ตัวหนึ่ง ได้เป็นของขวัญไว้นานแล้ว แต่ใส่ได้ไม่กี่ทีก็เลิก เพราะเป็นสมัยที่ใครๆก็อยากเป็นเขียวกัน ฉันก็เลยกลัวโดนก้อนอิฐขว้าง

ตาม ปกติซังต์มอริตซ์จะสวยตลอดปี มากหรือน้อยแล้วแต่อากาศจะมัวซัวหรือแจ่มใส แต่ถ้าเธอจะไปเที่ยวละก็ อย่าไปเดือนพฤษภาคม นี่เป็นเดือนเดียวที่ซังต์มอริตซ์เหมือนเมืองคนตาย เพราะเป็นเดือนกึ่งกลางระหว่างหน้าหนาวและหน้าร้อน ร้านรวงส่วนใหญ่จะปิดกัน ถนนหนทางก็เฉอะแฉะจากหิมะที่ละลาย ทะเลสาบก็กำลังจะละลายกลายเป็นน้ำ จะเล่นเรือก็ไม่ได้จะไปเดินก็ไม่ได้ ฝนก็ตกพรำๆตลอดแถมยังหนาวแบบเปียกอีกต่างหาก เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่โรงเรียนในเมืองไทยยังปิดเสียด้วย พ่อแม่ผู้ปกครองบางคนอยากให้ลูกให้หลานได้เปิดหูเปิดตา เกิดอุตริคิดจะไปเที่ยวในปลายเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมแล้วจะผิดหวัง

จะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ